คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นำชัย สุนทรพินิจกิจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 858 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2028/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ การพิสูจน์เจตนาในการร่วมกระทำความผิด และการยกฟ้องจำเลยที่ 2
ข้อความในบันทึกคำรับสารภาพชั้นจับกุมและบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนมิได้กล่าวถึงการกระทำใด ๆ ที่เป็นการร่วมกระทำผิดของจำเลยที่ 2 คงได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 2 รู้ถึงเจตนาของจำเลยที่ 1 ว่าจะไปชิงทรัพย์ผู้ตาย และขณะที่จำเลยที่ 1 ล็อกคอผู้ตาย จำเลยที่ 2 ก็รีบปลีกตัวออกไปจากที่เกิดเหตุพฤติการณ์เช่นนี้จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมเป็นตัวการในการชิงทรัพย์ผู้ตายร่วมกับจำเลยที่ 1 เพราะมิได้แบ่งหน้าที่กันทำความผิด ส่วนข้อที่ว่าได้มีการนัดหมายระหว่างจำเลยทั้งสองว่าหากจำเลยที่ 1 ลงมือกระทำผิดขณะใดให้จำเลยที่ 2 หลบไปนั้น ก็มิใช่การร่วมมือหรือเป็นการกระทำผิดในทางอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2028/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วม vs. ผู้รู้เห็น: จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์เพราะไม่ได้มีส่วนร่วมวางแผนหรือกระทำความผิด
จำเลยที่ 2 มีครรภ์แก่ได้ 7 เดือน รู้ถึงเจตนาของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นสามีว่าจะไปชิงทรัพย์ผู้ตาย แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 ล๊อกคอผู้ตาย จำเลยที่ 2 รีบปลีกตัวออกไปจากที่เกิดเหตุ มิได้ร่วมเป็นตัวการในการชิงทรัพย์ผู้ตายกับจำเลยที่ 1 เพราะมิได้แบ่งหน้าที่กันทำ ส่วนที่ได้มีการนัดหมายระหว่างจำเลยทั้งสองว่า หากจำเลยที่ 1ลงมือกระทำผิดขณะใดให้จำเลยที่ 2 หลบไปนั้น ก็มิใช่การร่วมมือกระทำผิดฐานชิงทรัพย์ จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1991/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของบันทึกคำให้การและการยื่นคำร้องฝากขังที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ไม่กระทบความชอบด้วยกฎหมายของการสอบสวน
แม้บันทึกคำให้การของพยานในชั้นสอบสวนจะลง วัน เดือน ปีไม่ตรงกับวันที่ทำการสอบสวนตามความเป็นจริง หรือมีการเติมข้อความว่าพยานที่ถูกสอบปากคำเป็นพยานคนที่เท่าไร หรือไม่มีคำว่าสอบปากคำพยานต่อหน้านายตำรวจชื่ออะไร หรือเติมข้อความว่าสอบปากคำต่อหน้านายตำรวจชื่ออะไรก็ตาม แต่ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดในการสอบสวนเท่านั้น หากไม่มีข้อความดังกล่าวก็ไม่ทำให้การสอบสวนเสียไปเนื่องจากไม่มีกฎหมายบัญญัติให้พนักงานสอบสวนบันทึกรายละเอียดดังกล่าวลงไปในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของพยานเมื่อพนักงานสอบสวนได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหาเพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิด และเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีลงโทษต่อไปแล้ว ถือได้ว่าพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องต่อศาลขอฝากขังจำเลยต่อ โดยอ้างว่ายังเหลือพยานที่จะสอบอีกหลายปาก แต่ความจริงพนักงานสอบสวนสอบปากคำไปหมดแล้วก็เป็นเพียงรายละเอียดเท่านั้น การยื่นคำร้องที่ไม่ตรงต่อความจริงเช่นนี้ หาทำให้การสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1991/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสอบสวนที่รายละเอียดบันทึกคำให้การไม่ตรงกับความเป็นจริง และการยื่นคำร้องฝากขังที่ไม่ถูกต้อง ไม่ทำให้การสอบสวนเป็นโมฆะ
บันทึกคำให้การของพยานในชั้นสอบสวนลง วัน เดือน ปี ไม่ตรงกับวันที่ทำการสอบสวนตามความเป็นจริง มีการเติมข้อความว่าพยานที่ถูกสอบปากคำเป็นพยานคนที่เท่าไร ไม่มีคำว่าสอบปากคำพยานต่อหน้านายตำรวจชื่ออะไร และมีการเติมข้อความว่าสอบปากคำต่อหน้านายตำรวจชื่ออะไร ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดในการสอบสวน หากไม่มีก็ไม่ทำให้การสอบสวนเสียไป ถือได้ว่าพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องต่อศาลขอฝากขังจำเลยต่อ โดยอ้างว่ายังเหลือพยานที่จะสอบอีกหลายปาก แต่ความจริงพนักงานสอบสวนสอบปากคำไปหมดแล้ว เป็นเรื่องรายละเอียด การยื่นคำร้องที่ไม่ตรงต่อความจริงเช่นนี้ ไม่ทำให้การสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1966/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลประโยชน์ร่วมกันในการฟ้องคดีบุกรุกที่ดิน แม้ที่ดินต่างแปลงกัน ก็ฟ้องร่วมกันได้
ผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 หมายความว่า ต้องมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลเหตุอันเป็นรากฐานแห่งคดีนั้น โดยถือหนี้อันเป็นมูลของคดีนั้นเป็นสาระสำคัญ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ทั้งสองบางส่วนทางด้านทิศเหนือเป็นผืนติดต่อกันในเวลาเดียวกันเพื่อแย่งสิทธิครอบครองเป็นของตน โจทก์ทั้งสองย่อมมีส่วนได้เสียในมูลเหตุอันเป็นรากฐานแห่งคดีนั้นแล้ว แม้ที่ดินที่ถูกบุกรุกจะมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.)คนละฉบับ และเป็นที่ดินต่างแปลงกันก็ตาม ก็เป็นเรื่องหลักฐานทางทะเบียนเท่านั้น กรณีดังกล่าวถือได้ว่า โจทก์ทั้งสองมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลความแห่งคดี จึงชอบที่จะเป็นโจทก์ร่วมฟ้องจำเลยรวมกันมาในคดีเดียวกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1966/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีร่วมกันของเจ้าของที่ดินต่างแปลงที่ถูกบุกรุกต่อเนื่องกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามีส่วนได้เสียร่วมกัน
จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ทั้งสองบางส่วนทางด้านทิศเหนือเป็นผืนติดต่อกันในเวลาเดียวกันเพื่อแย่งสิทธิครอบครองเป็นของตนโจทก์ทั้งสองย่อมมีส่วนได้เสียในมูลเหตุอันเป็นรากฐานแห่งคดีแม้ที่ดินที่ถูกบุกรุกจะมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)คนละฉบับ และเป็นที่ดินต่างแปลงกันก็ตาม ก็เป็นเรื่องหลักฐานทางทะเบียนเท่านั้น ถือได้ว่า โจทก์ทั้งสองมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลความแห่งคดี ชอบที่จะเป็นโจทก์ร่วมฟ้องจำเลยรวมกันในคดีเดียวกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1966/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีบุกรุกที่ดินร่วมกัน แม้ที่ดินต่างแปลง ก็มีสิทธิฟ้องร่วมได้ หากมีส่วนได้เสียร่วมกัน
โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ทั้งสองบางส่วนทางด้านทิศเหนือเป็นผืนติดต่อกันในเวลาเดียวกัน เพื่อแย่งสิทธิครอบครองเป็นของตน ดังนี้ โจทก์ทั้งสองย่อมมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลเหตุอันเป็นรากฐานแห่งคดีนั้นแล้ว แม้ที่ดินที่ถูกบุกรุกจะมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์คนละฉบับและเป็นที่ดินต่างแปลงกัน ก็เป็นเรื่องหลักฐานทางทะเบียนเท่านั้น กรณีดังกล่าวถือได้ว่า โจทก์ทั้งสองมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลความแห่งคดีจึงชอบที่จะเป็นโจทก์ร่วมฟ้องจำเลยรวมกันมาในคดีเดียวกันได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 59.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขาย: อายุความ 10 ปี และไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน
สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลย มีข้อความสรุปได้ว่า โจทก์กับจำเลยทำสัญญาซื้อขายกันเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2526 โดยจำเลยตกลงขายบ้านและที่ดินซึ่งระบุไว้ในสัญญา และจะส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่โจทก์ประมาณเดือนพฤษภาคม 2527 แสดงว่า คู่สัญญามีเจตนาจะไปโอนทรัพย์สินที่ซื้อขายกันในภายหลัง มิได้มีเจตนาจะให้กรรมสิทธิ์โอนจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อทันทีในวันทำสัญญา จึงมีลักษณะเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย ซึ่งเพียงแต่ทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดตามสัญญา ก็เรียกร้องให้บังคับระหว่างกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขาย ขอให้บังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาหรือคืนเงินที่โจทก์ได้ชำระราคาให้จำเลยไว้สิทธิเรียกร้องในกรณีนี้ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้กำหนดอายุความทั่วไป 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1931/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่าโทรศัพท์ชอบด้วยกฎหมาย แม้ส่งหนังสือบอกเลิกไปยังภูมิลำเนาเดิมและมีหนังสือทวงหนี้ระบุการบอกเลิกสัญญา
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าเช่า ค่าบำรุงรักษา ค่าใช้บริการโทรศัพท์และค่าเครื่องโทรศัพท์ถอนคืนไม่ได้พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 8,245บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ. มาตรา 224 และ มาตรา 248 แม้หัวข้อเรื่องหนังสือที่โจทก์มีถึงจำเลยจะเป็นเรื่องขอให้จำเลยชำระค่าเช่าโทรศัพท์ แต่เนื้อความในหนังสือก็ได้ระบุว่าจำเลยค้างชำระค่าเช่าเป็นเงินจำนวนเท่าใดอย่างชัดแจ้ง ทั้งระบุไว้ด้วยว่าได้บอกเลิกสัญญาเช่าไปแล้ว หลังจากจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าว ไม่ปรากฏว่าได้โต้แย้งทักท้วงต่อโจทก์ประการใดถือได้ว่าโจทก์บอกเลิกการเช่าโทรศัพท์แก่จำเลยโดยชอบแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1920/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงเจตนาสั่งซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตัวแทน และความรับผิดของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ยินยอมผูกพัน
จำเลยที่ 3 เป็นข้าราชการสังกัดจำเลยที่ 1 ได้ติดต่อขอซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นจากโจทก์ โดยจำเลยที่ 3ออกใบสั่งจ่ายน้ำมันให้เจ้าหน้าที่ผู้ขับรถนำไปเติมน้ำมันจากปั๊มน้ำมันของโจทก์ การเติมน้ำมันแต่ละครั้งได้ลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ค่าน้ำมันโจทก์จะเรียกเก็บในเดือนถัดไป ซึ่งถือปฏิบัติเช่นนี้ตลอดมาติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 2 ปี เมื่อการเติมน้ำมันดังกล่าวเป็นการปฏิบัติราชการของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1จะอ้างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2521ซึ่งเป็นระเบียบภายในที่ฝ่ายจำเลยจะต้องถือปฏิบัติว่าจำเลยที่ 3มิได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ไม่ได้ หากเป็นการผิดระเบียบก็ต้องว่ากล่าวกันเอง ไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต ตามพฤติการณ์ในการปฏิบัติการของจำเลยที่ 3 เป็นการแสดงออกว่ากระทำในนามของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ใบสั่งจ่ายน้ำมันที่เป็นต้นฉบับสูญหายถูกทำลายไป สำเนาเอกสารก็รับฟังเป็นพยานได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93(2).
of 86