คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นำชัย สุนทรพินิจกิจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 858 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4193/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประกันภัยค้ำจุน: บุคคลภายนอกมีอำนาจฟ้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ แม้ไม่ได้แสดงเจตนา
โจทก์ทั้งสี่มิได้ร่วมกันฟ้องเรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดอย่างเจ้าหนี้ร่วม แต่ละคนต่างเรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่ตนได้รับเท่านั้นแม้จะอาศัยมูลละเมิดเดียวกัน คดีสำหรับโจทก์คนใดจะอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงได้หรือไม่ ต้องแยกพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์ตามที่โจทก์คนนั้น ๆ เรียกร้อง เมื่อโจทก์ที่ 4 เรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตน 9,000 บาท คดีสำหรับโจทก์ที่ 4 จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ดังนั้น แม้จำเลยที่ 4 จะอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ที่ 4สูงไป และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 4 มีสิทธิฎีกาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 4 สัญญาประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย เพื่อวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอื่นซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบอันมีลักษณะเป็นประกันภัยค้ำจุนนั้น มิได้เป็นสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยกับผู้เอาประกันภัยตกลงกันว่าจะให้บุคคลภายนอกได้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยควรจะได้รับ ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่เคยแสดงเจตนาแก่ผู้รับประกันภัยว่าจะเอาประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยนั้นก็มีอำนาจฟ้องเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 887 วรรคสอง กรณีจะปรับด้วยมาตรา 374 ไม่ได้ กรมธรรม์ประกันภัยข้อ 2.14 มีข้อความว่า "ข้อสัญญาพิเศษภายใต้จำนวนเงินจำกัดความรับผิดที่ระบุไว้ในตาราง บริษัทจะไม่ยกเอาความไม่สมบูรณ์แห่งกรมธรรม์หรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือข้อ 2.13 หรือเงื่อนไขทั่วไป เว้นแต่ข้อ 1.2เป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามข้อ 2.1(ความรับผิดต่อความบาดเจ็บหรือมรณะ) หรือข้อ 2.2(ความรับผิดต่อผู้โดยสาร)" ดังนั้น จำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยจะเอาเงื่อนไขทั่วไปข้อ 1.8 ที่ว่า "ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่นำหลักฐานมาแสดงต่อบริษัทเพื่อพิสูจน์ว่าผู้ขับรถยนต์ในขณะเกิดอุบัติเหตุเคยได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์" มาต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4171/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าหนี้มีสิทธิอายัดเงินในบัญชีลูกหนี้ แม้ผู้คัดค้านอ้างว่าเป็นเงินจากผู้ค้ำประกัน หากพิสูจน์ไม่ได้
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่ามีการโอนเงินจำนวนหนึ่งจากธนาคารในเมือง ฮ่องกง มาเข้าบัญชีกระแสรายวันของจำเลยในธนาคารผู้คัดค้าน ถ้าไม่มีหลักฐานเป็นอย่างอื่น ในเบื้องต้นต้องฟังว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นของจำเลยผู้เป็นเจ้าของบัญชี เมื่อผู้คัดค้านอ้างว่าเงินจำนวนดังกล่าวมิใช่เป็นของจำเลยแต่เป็นของผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยส่งมาชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านแทนจำเลย ผู้คัดค้านจึงมีภาระการพิสูจน์ให้ฟังได้ตามข้ออ้างของตน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4171/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอายัดเงินในบัญชีธนาคาร: เจ้าของบัญชีมีสิทธิเหนือเงินจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเงินนั้นเป็นของผู้อื่น
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่ามีการโอนเงินจำนวนหนึ่งจากธนาคารในเมืองฮ่องกงมาเข้าบัญชีกระแสรายวันของจำเลยในธนาคารผู้คัดค้าน ถ้าไม่มีหลักฐานเป็นอย่างอื่น ในเบื้องต้นต้องฟังว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นของจำเลยผู้เป็นเจ้าของบัญชี เมื่อผู้คัดค้านอ้างว่าเงินจำนวนดังกล่าวมิใช่เป็นของจำเลยแต่เป็นของผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยส่งมาชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านแทนจำเลย ผู้คัดค้านจึงมีภาระการพิสูจน์ให้ฟังได้ตามข้ออ้างของตน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4171/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอายัดเงินในบัญชีธนาคาร: เจ้าหนี้มีสิทธิแม้ผู้คัดค้านอ้างเงินมาจากผู้ค้ำประกัน หากไม่มีหลักฐานสนับสนุน
ข้อเท็จจริงได้ความว่ามีการโอนเงินจำนวนหนึ่งจากธนาคารในเมืองฮ่องกงมาเข้าบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ธนาคารผู้คัดค้านถ้าไม่มีหลักฐานเป็นอย่างอื่นในเบื้องต้นต้องฟังว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นของจำเลยผู้เป็นเจ้าของบัญชี เมื่อผู้คัดค้านอ้างว่าเงินจำนวนดังกล่าวมิใช่เป็นของจำเลยแต่เป็นของผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยส่งมาชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านแทนจำเลยผู้คัดค้านจึงมีภาระการพิสูจน์ให้ฟังได้ตามข้ออ้างของตน ผู้คัดค้านส่งสำเนาภาพถ่ายเอกสารเป็นพยานโดยมิได้แสดงให้เห็นว่าต้นฉบับหาไม่ได้เพราะสูญหายหรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัยหรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น และโจทก์ไม่ได้ตกลงด้วยว่าสำเนาภาพถ่ายเอกสารนั้นถูกต้อง สำเนาภาพถ่ายเอกสารดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4158/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสืบพยานคดีแรงงาน: ศาลอนุญาตให้จำเลยสืบพยานได้ แม้ไม่ได้ถามค้านโจทก์ก่อน เนื่องจากต้องการข้อเท็จจริงที่สมบูรณ์
การสืบพยานในคดีแรงงานแตกต่างจากคดีแพ่งสามัญพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 45 วรรคสอง บัญญัติว่า "ในการสืบพยานไม่ว่าจะเป็นพยานที่คู่ความฝ่ายใดอ้างหรือที่ศาลแรงงานเรียกมาเอง ให้ศาลแรงงานเป็นผู้ซักถามพยานตัวความหรือทนายความจะซักถามพยานได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน" ฉะนั้น การที่จำเลยนำสืบพยานบุคคลในภายหลังว่าโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยเรียกร้องเงินจากคนงานที่จะทำงานกับจำเลยอันเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุเลิกจ้าง โดยจำเลยมิได้ถามค้านโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายที่นำสืบก่อนในข้อนี้ไว้ ถือได้ว่าศาลแรงงานอนุญาตแล้ว เพราะศาลแรงงานต้องการได้ข้อเท็จจริงที่สมบูรณ์และให้ได้ความแจ้งชัดในข้อเท็จจริงแห่งคดี จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 มาใช้บังคับในการพิจารณาคดีแรงงานไม่ได้ ศาลแรงงานย่อมรับฟังคำพยานจำเลยดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4158/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสืบพยานคดีแรงงาน: ศาลแรงงานมีอำนาจซักถามเอง และอนุญาตให้คู่ความซักค้านได้ภายหลัง
การสืบพยานในคดีแรงงานแตกต่างจากคดีแพ่งสามัญ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 45 วรรคสอง บัญญัติว่า "ในการสืบพยานไม่ว่าจะเป็นพยานที่คู่ความฝ่ายใดอ้างหรือที่ศาลแรงงานเรียกมาเอง ให้ศาลแรงงานเป็นผู้ซักถามพยาน ตัวความหรือทนายความจะซักถามพยานได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน" ฉะนั้น การที่จำเลยนำสืบพยานบุคคลในภายหลังว่าโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยเรียกร้องเงินจากคนงานที่จะทำงานกับจำเลย อันเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุเลิกจ้าง โดยจำเลยมิได้ถามค้านโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายที่นำสืบก่อนในข้อนี้ไว้ ถือได้ว่าศาลแรงงานอนุญาตแล้ว เพราะศาลแรงงานต้องการได้ข้อเท็จจริงที่สมบูรณ์และให้ได้ความแจ้งชัดในข้อเท็จจริงแห่งคดี จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 มาใช้บังคับในการพิจารณาคดีแรงงานไม่ได้ ศาลแรงงานย่อมรับฟังคำพยานจำเลยดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4158/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสืบพยานในคดีแรงงาน: ศาลแรงงานมีอำนาจซักถามเอง และอนุญาตให้คู่ความซักค้านได้ภายหลัง
การสืบพยานในคดีแรงงานแตกต่างจากคดีแพ่งสามัญ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 45วรรคสอง บัญญัติว่า "ในการสืบพยานไม่ว่าจะเป็นพยานที่คู่ความฝ่ายใดอ้างหรือที่ศาลแรงงานเรียกมาเอง ให้ศาลแรงงานเป็นผู้ซักถามพยาน ตัวความหรือทนายความจะซักถามพยานได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน" ฉะนั้น การที่จำเลยนำสืบพยานบุคคลในภายหลังว่าโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยเรียกร้องเงินจากคนงานที่จะทำงานกับจำเลย อันเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุเลิกจ้าง โดยจำเลยมิได้ถามค้านโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายที่นำสืบก่อนในข้อนี้ไว้ ถือได้ว่าศาลแรงงานอนุญาตแล้ว เพราะศาลแรงงานต้องการได้ข้อเท็จจริงที่สมบูรณ์และให้ได้ความแจ้งชัดในข้อเท็จจริงแห่งคดี จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 มาใช้บังคับในการพิจารณาคดีแรงงานไม่ได้ ศาลแรงงานย่อมรับฟังคำพยานจำเลยดังกล่าวได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4105/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประพฤติเนรคุณและการหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ถอนคืนการให้ได้
โจทก์พูดห้ามปรามมิให้จำเลยขายที่ดินที่โจทก์ยกให้ จำเลยชี้หน้าด่าโจทก์ด้วยเสียงอันดังว่า "อีเฒ่า หน้าด้าน อีเฒ่า หน้าหมาอีเฒ่า หมาแม่ ไม่นับถือว่ามึงเป็นแม่กูหรอกจะไปตายที่ไหนก็ไปกูบ่เลี้ยงมึงแล้ว กูจะขายมึงอยากได้ให้ไปฟ้องเอา" การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) อันเป็นการประพฤติเนรคุณที่โจทก์จะเรียกถอนคืนการให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4105/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงของบุตรต่อมารดา เป็นเหตุให้ถอนคืนการให้ได้
โจทก์พูดห้ามปรามมิให้จำเลยขายที่ดินที่โจทก์ยกให้ จำเลยชี้หน้าด่าโจทก์ด้วยเสียงอันดังว่า "อีเฒ่า หน้าด้าน อีเฒ่า หน้าหมาอีเฒ่า หมาแม่ ไม่นับถือว่ามึงเป็นแม่กูหรอกจะไปตายที่ไหนก็ไปกูบ่ เลี้ยงมึงแล้ว กูจะขายมึงอยากได้ให้ไปฟ้องเอา" การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) อันเป็นการประพฤติเนรคุณที่โจทก์จะเรียกถอนคืนการให้ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4105/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงของบุตรต่อมารดาเป็นเหตุให้ถอนคืนการให้ได้
โจทก์พูดห้ามปรามมิให้จำเลยขายที่ดินที่โจทก์ยกให้ จำเลยชี้หน้าด่าโจทก์ด้วยเสียงอันดังว่า "อีเฒ่าหน้าด้าน อีเฒ่าหน้าหมาอีเฒ่าหมาแม่ ไม่นับถือว่ามึงเป็นแม่กูหรอก จะไปตายที่ไหนก็ไปกูบ่เลี้ยงมึงแล้ว กูจะขายมึงอยากได้ให้ไปฟ้องเอา" การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) อันเป็นการประพฤติเนรคุณที่โจทก์จะเรียกถอนคืนการให้ได้
of 86