คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นำชัย สุนทรพินิจกิจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 858 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3792/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินมีข้อห้ามโอน การจงใจหลีกเลี่ยงข้อกำหนดทำให้สัญญาเป็นโมฆะ
จำเลยเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งมีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 58 ทวิ ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินนั้นกับโจทก์ภายในกำหนดระยะเวลาห้ามโอน และจำเลยได้มอบการครอบครองที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันทำสัญญา แม้จะมีข้อตกลงให้โอนกันเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอนแล้วก็ตาม ถือได้ว่าเป็นการจงใจหลีกเลี่ยงข้อกำหนดระยะเวลาห้ามโอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน จึงเป็นการอันมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย สัญญาจะซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 เดิม(มาตรา 150)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3782/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกที่ดินหลังซื้อขาย: การครอบครองที่ไม่ต่อเนื่อง ไม่เป็นกิจจะลักษณะ ไม่ถือเป็นการครอบครองโดยชอบ
จำเลยเข้าไปปลูกบ้านในที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินตาม น.ส.3ตั้งแต่ปี 2506 แต่เนื่องจากพวกเขมรเข้ามาปล้นชาวบ้านแถวบริเวณที่พิพาทบ่อย ๆ จำเลยจึงทิ้งที่พิพาทไป โดยปีหนึ่งกลับมาดูหนหนึ่งเหตุที่จำเลยปล่อยที่พิพาทรกเป็นป่าเนื่องจากจำเลยเกรงอิทธิพลของบุคคลภายนอกจึงต้องหลบหนี นาน ๆ จึงจะแวะมาดูที่พิพาทครั้งหนึ่ง การครอบครองที่พิพาทของจำเลยไม่เป็นการต่อเนื่องและเป็นกิจจะลักษณะ เมื่อจำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านในที่พิพาทในปี 2532 ภายหลังที่โจทก์ร่วมได้ซื้อที่พิพาทจาก อ.โดยสุจริตแล้วจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3576/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมแปลงเครื่องหมายการค้า EDWIN และจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
โจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นอักษรโรมัน EDWINและมีข้อความเป็นคำขวัญกำกับข้างล่างว่า SOLDONLYATTHEFINESTSTORES ที่ประเทศญี่ปุ่น ก่อนจำเลยที่ 2 จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันว่า EDWIN ในประเทศไทย 3 ปี การที่จำเลยที่ 2 ผลิตกางเกงยีนออกจำหน่ายในประเทศไทยโดยใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า EDWIN มีลักษณะเป็นการเขียนแตกต่างจากเครื่องหมายการค้าที่จำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนไว้ แต่กางเกงยีนที่จำเลยที่ 2 ผลิตใช้เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันมีลักษณะการเขียนเหมือนกับเครื่องหมายการค้าที่โจทก์จดทะเบียนไว้ทั้งยังมีข้อความว่า SOLDONLYATTHEFINESTSTORES ด้วย เหมือนกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์และคำขวัญกำกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทุกประการ นอกจากนี้กระดาษป้ายฉลากที่ติดอยู่กับกางเกงยีนดังกล่าวมีแบบ ขนาด สีสัน และข้อความเหมือนกันทุกประการ รวมทั้งที่ป้ายบอกขนาดและราคาซึ่งติดอยู่กับกางเกงยีนของจำเลยที่ 2ก็มีคำว่า "EDWIN" อยู่ใต้ข้อความที่เป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งคำว่า"EDWIN" นี้ตรงกับที่ปรากฏอยู่ในป้ายบอกขนาดและราคาซึ่งติดอยู่กับกางเกงยีนของโจทก์อันหมายถึงว่าเครื่องหมายการค้าคำว่า"EDWIN" เป็นเครื่องหมายการค้าที่ได้รับการจดทะเบียนแล้ว ดังนี้แสดงให้เห็นแจ้งชัดถึงเจตนาของจำเลยที่ 2 ในการปลอมเครื่องหมายการค้า EDWIN ของโจทก์ โดยรู้อยู่แล้วว่าเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนดังกล่าวเป็นของโจทก์ที่ประเทศญี่ปุ่นและบริษัทโจทก์อยู่ในประเทศนั้นถือว่าเป็นการปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ได้จดทะเบียนไว้นอกราชอาณาจักร และเป็นการเอาชื่อรูป รอยประดิษฐ์ หรือข้อความในการประกอบการค้าของโจทก์มาใช้เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าสินค้าของจำเลยที่ 2 เป็นสินค้าของโจทก์กับเป็นการจำหน่ายซึ่งสินค้าอันเป็นสินค้าที่มีชื่อรูป รอยประดิษฐ์หรือข้อความในการประกอบการค้าของผู้อื่นและเป็นสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม จำเลยที่ 2 ประกอบกิจการค้าขายสินค้ากางเกงยีนด้วยการใช้เครื่องหมายการค้าของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำการปลอมเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นและนำมาใช้กับสินค้าของตนในรูปของการตั้งเป็นโรงงานผลิตสินค้าดังกล่าวออกจำหน่ายแก่ประชาชนเป็นเวลานานถึงประมาณ 8 ปี กางเกงยีนและกระโปรงยีนที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมของกลางมีจำนวนถึง 2,277 ตัว และกระดาษป้ายฉลากเครื่องหมายการค้าปลอมที่เตรียมไว้ใช้ติดกับสินค้ากางเกงยีนและกระโปรงยีนมีจำนวนถึง 28,880 แผ่น ทั้งโจทก์ได้บอกให้จำเลยที่ 2ระงับการผลิตกางเกงยีนโดยใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ตั้งแต่ปลาย พ.ศ. 2531 ก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจจะไปตรวจค้นโรงงานของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2532 เป็นเวลาถึงประมาณ 1 ปีแต่จำเลยที่ 2 ก็ยังไม่ยอมหยุดผลิตกางเกงยีนดังกล่าว พฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ยังไม่มีเหตุสมควรให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3510/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รูปแบบคำอุทธรณ์คำสั่งไม่ถูกต้อง แต่เนื้อหาโต้แย้งชัดเจนและชำระค่าขึ้นศาลเกินจำนวนที่กำหนด ศาลฎีกาให้รับอุทธรณ์เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
แม้มาตรา 156 วรรคท้าย แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งจะบัญญัติว่า การอุทธรณ์คำสั่งให้ยื่นคำขอเป็นคำร้อง และจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์คำสั่งมาในรูปแบบคำฟ้องอุทธรณ์คำสั่งแต่ตามเนื้อหาในอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้โดยชัดแจ้งทั้งได้ชำระค่าขึ้นศาลมาเป็นจำนวนถึง 200 บาท ซึ่งเกินกว่าที่จะต้องชำระในรูปแบบของคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ดังนั้นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงให้รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสี่ไว้พิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3341/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าวิทยุติดตามตัว: การผิดสัญญาชำระค่าเช่า และผลของการไม่บอกเลิกสัญญา
เงื่อนไขในสัญญาเช่าใช้บริการวิทยุติดตามตัวกำหนดให้ผู้เช่าชำระค่าใช้บริการภายในวันที่ 10 ของเดือนทุกเดือนและหากผู้เช่าไม่ประสงค์จะใช้บริการ ผู้เช่าต้องแจ้งบอกเลิกการเช่าให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 15 วัน ดังนั้น การที่ผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่าติดต่อกัน 2 เดือน แต่มิได้บอกเลิกการเช่าเป็นลายลักษณ์อักษรจึงถือไม่ได้ว่าสัญญาการเช่าใช้บริการเลิกกัน ข้อสัญญาที่ระบุว่า ถ้าครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว ผู้เช่าไม่บอกเลิกสัญญา ให้ถือว่าผู้เช่าได้ตกลงเช่าต่อไปก็ดีและข้อที่ระบุว่า อนึ่ง การระงับบริการอันเนื่องจากการผิดสัญญาของผู้เช่าเอง ผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าระหว่างระงับบริการนั้นก็ดี ข้อสัญญาทั้งสองข้อหาใช่เป็นข้อสัญญาที่เอาเปรียบไม่เป็นธรรมแก่จำเลยแต่ประการใดไม่ เพราะเป็นเพียงกำหนดสิทธิหน้าที่ของคู่สัญญาอันจะพึงปฏิบัติต่อกันเท่านั้น จำเลยเป็นฝ่ายเลือกใช้บริการ หากเห็นว่าข้อสัญญาของโจทก์เอาเปรียบก็เลือกใช้บริการที่อื่นได้ การที่จำเลยไม่ใช้บริการของโจทก์ แต่ก็มิได้บอกเลิกสัญญานำเครื่องวิทยุติดตามตัวไปคืนโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถนำเครื่องวิทยุดังกล่าวไปให้ผู้อื่นเช่าต่อไปได้ ย่อมทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ ข้อสัญญาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นธรรม หาขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3341/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าวิทยุติดตามตัว: การไม่ชำระค่าเช่าและการไม่บอกเลิกสัญญาไม่ถือเป็นการเลิกสัญญา
เงื่อนไขในสัญญาเช่าใช้บริการวิทยุติดตามตัวกำหนดให้ผู้เช่าชำระค่าใช้บริการภายในวันที่ 10 ของเดือนทุกเดือน และหากผู้เช่าไม่ประสงค์จะใช้บริการ ผู้เช่าต้องแจ้งบอกเลิกการเช่าให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 15 วัน ดังนั้น การที่ผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่าติดต่อกัน 2 เดือน แต่มิได้บอกเลิกการเช่าเป็นลายลักษณ์อักษร จึงถือไม่ได้ว่าสัญญาการเช่าใช้บริการเลิกกัน
ข้อสัญญาที่ระบุว่า ... ถ้าครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว ผู้เช่าไม่บอก-เลิกสัญญา ให้ถือว่าผู้เช่าได้ตกลงเช่าต่อไปก็ดี และข้อที่ระบุว่า อนึ่ง การระงับบริการอันเนื่องจากการผิดสัญญาของผู้เช่าเอง ผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าระหว่างระงับบริการนั้นก็ดี ข้อสัญญาทั้งสองข้อหาใช่เป็นข้อสัญญาที่เอาเปรียบไม่เป็นธรรมแก่จำเลยแต่ประการใดไม่ เพราะเป็นเพียงกำหนดสิทธิหน้าที่ของคู่สัญญาอันจะพึงปฏิบัติต่อกันเท่านั้น จำเลยเป็นฝ่ายเลือกใช้บริการ หากเห็นว่าข้อสัญญาของโจทก์เอาเปรียบก็เลือกใช้บริการที่อื่นได้ การที่จำเลยไม่ใช้บริการของโจทก์ แต่ก็มิได้บอกเลิกสัญญานำเครื่องวิทยุติดตามตัวไปคืนโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถนำเครื่องวิทยุดังกล่าวไปให้ผู้อื่นเช่าต่อไปได้ ย่อมทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ ข้อสัญญาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นธรรม หาขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3341/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าวิทยุติดตามตัว: การค้างชำระค่าเช่า, การระงับบริการ, และข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
สัญญาการเช่าใช้บริการวิทยุติดตามตัวระหว่างการสื่อสารแห่งประเทศไทยโจทก์กับจำเลยผู้เช่าข้อ 2.6 วรรคท้าย ที่ว่า การระงับบริการอันเนื่องจากการผิดสัญญาของผู้เช่าเอง ผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าระหว่างระงับบริการนั้น การที่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าใช้บริการถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเนื่องจากความผิดของจำเลยเช่นเดียวกันจำเลยจึงต้องชำระค่าเช่าระหว่างระงับบริการนั้นด้วย ตามสัญญาเช่าใช้บริการวิทยุติดตามตัวข้อ 2.5 ระบุว่าหากผู้เช่าไม่ประสงค์จะใช้บริการผู้เช่าต้องแจ้งบอกเลิกค่าเช่าให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 15 วัน ดังนั้น การที่ผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่าติดกัน 2 เดือน แต่มิได้บอกเลิกการเช่าเป็นลายลักษณ์อักษรจึงถือไม่ได้ว่าสัญญาเลิกกันแล้ว สัญญาการเช่าใช้บริการวิทยุติดตามตัว ข้อ 2.5ที่ระบุว่า ถ้าครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว ผู้เช่าไม่บอกเลิกสัญญาให้ถือว่าผู้เช่าได้ตกลงเช่าต่อไปก็ดีและข้อ 2.6 ที่ระบุว่าการระงับบริการอันเนื่องจากการผิดสัญญาของผู้เช่าเองผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าระหว่างระงับบริการนั้นก็ดีมิใช่เป็นข้อสัญญาที่เอาเปรียบไม่เป็นธรรมแก่จำเลยเพราะเป็นเพียงกำหนดสิทธิหน้าที่ของคู่สัญญาอันจะพึงปฏิบัติต่อกันและกันเท่านั้น จำเลยเป็นฝ่ายเลือกใช้บริการหากเห็นว่าข้อสัญญาของโจทก์เอาเปรียบก็เลือกใช้บริการที่อื่นได้ การที่จำเลยไม่ใช่บริการของโจทก์ แต่ก็มีได้บอกเลิกสัญญานำเครื่องวิทยุติดตามตัวไปคืนโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถนำเครื่องวิทยุดังกล่าวไปให้ผู้อื่นเช่าต่อไปได้ย่อมทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ แล้วจะมิให้โจทก์เรียกค่าเช่าใช้บริการจากจำเลยได้อย่างไรข้อสัญญาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นธรรม หาขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3304/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีทรัพย์สินที่มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท และการฎีกาข้อเท็จจริง
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งโอนที่ดินมรดก จำเลยต่อสู้ว่าเป็นที่ดินของจำเลย เมื่อปรากฏว่า คดีนี้เป็นคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ซึ่งคู่ความต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ที่โจทก์ทั้งสี่ฎีกาว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสี่มีน้ำหนักน่าเชื่อว่า จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ไว้แทนโจทก์ที่ 2 คดีโจทก์ทั้งสี่ไม่ขาดอายุความนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้วในวันที่โจทก์ทั้งสี่ยื่นฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3269/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงวันนัดพยานโดยไม่แจ้ง ทำให้โจทก์ขาดนัดโดยไม่ได้ตั้งใจ ศาลต้องเพิกถอนคำสั่ง
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้อง ของ โจทก์ในตอนแรกว่านัดสืบพยานโจทก์ตามขอ ซึ่งหมายถึงวันที่ 16 มีนาคม 2533เวลา 13.30 นาฬิกา ดังนั้นการที่ศาลหรือเจ้าพนักงานศาลมาเปลี่ยนวันนัดสืบพยานโจทก์ใหม่เป็นวันที่ 2 มีนาคม 2533เวลา 9 นาฬิกา เป็น การกำหนดหรือปฏิบัติผิดไปจากคำสั่งเดิมของศาลชั้นต้นดังกล่าวแล้วโดยชัดแจ้ง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งดังกล่าวหรือได้มีการออกหรือส่งหมายนัดดังกล่าวไปให้โจทก์ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและไม่มีพยานมาสืบให้ยกฟ้องโจทก์และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความจึงยังไม่ชอบ โจทก์ย่อมมีอำนาจขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3269/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงวันนัดพยานโดยมิชอบ โจทก์มีสิทธิขอเพิกถอนคำสั่ง
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องของโจทก์ในตอนแรกว่า นัดสืบพยานโจทก์ตามขอ ซึ่งหมายถึงวันที่ 16 มีนาคม 2533 เวลา 13.30 นาฬิกา ดังนั้นการที่ศาลหรือเจ้าพนักงานศาลมาเปลี่ยนวันนัดสืบพยานโจทก์ใหม่เป็นวันที่ 2มีนาคม 2533 เวลา 9 นาฬิกา เป็นการกำหนดหรือปฏิบัติผิดไปจากคำสั่งเดิมของศาลชั้นต้นดังกล่าวแล้วโดยชัดแจ้ง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งดังกล่าวหรือได้มีการออกหรือส่งหมายนัดดังกล่าวไปให้โจทก์ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและไม่มีพยานมาสืบให้ยกฟ้องโจทก์และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความจึงยังไม่ชอบ โจทก์ย่อมมีอำนาจขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27
of 86