คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
บุญส่ง วรรณกลาง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,029 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์หลักฐานการซื้อขายตั๋วสัญญาใช้เงิน: ความสำคัญของลายมือชื่อ, การลงบัญชี และความน่าเชื่อถือของพยาน
พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการแผนกเงินกู้และเป็นผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนเบิกความตอบคำถามค้านและคำถามติงว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยในเรื่องที่จำเลยนำตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทมาขายลดให้โจทก์นั้นเป็นการตกลงกันปากเปล่า และโจทก์ก็ไม่ได้นำเรื่องการขายลดมาลงในสมุดบัญชีเงินสดรายวันในวันที่มีการขายลดแต่เพิ่งจะนำมาลงบัญชีหลังจากนั้นเกือบหนึ่งเดือน ดังนี้ เป็นเรื่องที่คู่กรณีไม่น่าจะตกลงกันเพียงวาจา หากแต่ควรทำเป็นสัญญามีหลักฐานให้ปรากฏด้วยตัวหนังสือเนื่องจากตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทมีจำนวนเงินสูงมากถึงสองล้านบาทเศษ และการที่โจทก์ไม่ได้มีการลงรายการเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในบัญชีเงินสดประจำวันในวันเดียวกัน ก็เป็นข้อพิรุธได้ว่า ได้มีการตกลงกันจริงหรือไม่นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังปรากฏด้วยว่า ลายมือชื่อของผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทซึ่งเป็นภาษาไทย และโจทก์อ้างว่าเป็นลายมือที่แท้จริงของจำเลยนั้นมีลักษณะแตกต่างจากลายมือชื่อภาษาไทยของจำเลยซึ่งทำขึ้นก่อนหน้านี้ประมาณหกปี และจำเลยก็ไม่ได้ลงลายมือชื่อเป็นภาษาไทยมานานแล้ว ในการติดต่อธุรกิจกับโจทก์ จำเลยลงลายมือชื่อเป็นภาษาอังกฤษเสมอมา การที่โจทก์มิได้ตรวจสอบหรือทักท้วงในการที่จำเลยลงลายมือชื่อเป็นภาษาไทยในตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทอันเป็นลายมือชื่อต่างภาษากับลายมือชื่อตัวอย่างของจำเลยที่ให้ไว้กับโจทก์ทั้งที่มูลค่าแห่งหนี้มีจำนวนสูง ดังนี้ พยานหลักฐานของโจทก์ซึ่งมีภาระการพิสูจน์จึงยังไม่มีน้ำหนัก ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทไว้กับโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงสภาพแห่งข้อหาในฟ้อง: รายการค่าใช้จ่ายแนบท้ายฟ้องเพียงพอต่อการเข้าใจ
แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยตกลงให้โจทก์เรียกค่าจ้างว่าความตามปริมาณและระยะเวลาการทำงาน แต่โจทก์ก็ได้แนบเอกสารท้ายฟ้อง แสดงรายการค่าจ้างว่าความ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแบะค่าป่วยการ เป็นเงินรวม 249,440 บาท ให้จำเลยทราบ จึงเพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจสภาพแห่งข้อหาตามฟ้อง ถือได้ว่า ฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าจ้างทนายความ: การคิดคำนวณค่าบริการ, ค่าป่วยการ, และการกำหนดจำนวนเงินที่เหมาะสม
แม้โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยตกลงให้โจทก์เรียกค่าจ้างว่าความตามปริมาณและระยะเวลาการทำงาน แต่โจทก์ก็ได้แนบเอกสารท้ายฟ้องแสดงรายการค่าจ้างว่าความ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีและค่าป่วยการเป็นเงินรวม 249,440 บาท ให้จำเลยทราบ จึงเพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจสภาพแห่งข้อหาตามฟ้อง ถือได้ว่าฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความประกอบเอกสารที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงสอดคล้องต้องกันสมเหตุสมผล มีน้ำหนักน่าเชื่อยิ่งกว่าพยานจำเลยซึ่งมีแต่เพียงพยานบุคคลเบิกความลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน รูปคดีฟังได้ว่าจำเลยได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความแก้ต่างให้แก่จำเลย ค่าบริการเมื่อไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าเป็นค่าบริการอะไรในส่วนไหนศาลย่อมไม่กำหนดเงินในส่วนนี้ให้ สำหรับค่าสินจ้างว่าความที่โจทก์เรียกมาเป็นเงิน 200,000 บาท นั้น ปรากฏว่าในคดีที่จำเลยถูกธนาคารฟ้องมิใช่เป็นคดีที่มีปัญหายุ่งยากซับซ้อนมากนัก และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ว่าความโดยต้องซักถามพยานเป็นข้อยุ่งยากและโจทก์ต้องไปแสวงหาพยานหลักฐานโดยยากลำบากแต่อย่างใดสมควรกำหนดสินจ้างว่าความตามส่วนของงานที่ทำไปเป็นเงิน 80,000 บาทส่วนค่าป่วยการนั้นตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน คำว่า"ป่วยการ" หมายถึงเสียงานเสียการ และ "ค่าป่วยการ" หมายถึงเรียกค่าชดเชยการงานเวลาที่เสียไปการที่โจทก์เดินทางไปว่าความต่างจังหวัดเป็นการเดินทางไปทำงานในหน้าที่ของทนายความโดยตรงจะเรียกว่าเป็นการเสียงานเสียเวลาไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาผู้กระทำผิด, เหตุผลแวดล้อม, พยานหลักฐานไม่ชัดเจน, ยกประโยชน์แห่งความสงสัย, ริบของกลาง
การที่จะค้นหาเจตนาของจำเลยว่ารู้หรือไม่ว่าหนังสือรับรองความประพฤติทั้ง 20 ฉบับ เป็นเอกสารปลอม จำเป็นจะต้องอาศัยเหตุผลกรณีแวดล้อมและพิรุธแห่งการกระทำเป็นเครื่องชี้เจตนาของจำเลย จำเลยเรียนจบชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ในระหว่างที่จำเลยทำงานอยู่ที่บริษัทพ. จำเลยมีหน้าที่เพียงเป็นผู้ส่งหนังสือ ได้รับเงินเดือน ๆ ละ 2,000 บาท สภาพหรือฐานะของจำเลยเป็นเพียงเด็กรับใช้หรือนักการภารโรง คงไม่มีโอกาสรู้ถึงนโยบายการบริหารงานของบริษัทและไม่รู้ว่าหนังสือรับรองความประพฤติซึ่งพิมพ์ด้วยภาษาอังกฤษทั้งฉบับเป็นเอกสารอันแท้จริงหรือเป็นเอกสารปลอม ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การยืนยันมาโดยตลอดว่า น. เจ้าหน้าที่บริษัท พ. เป็นผู้วานให้จำเลยนำหนังสือรับรองความประพฤติไปให้สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทยรับรอง โดยจำเลยไม่ทราบว่าเป็นเอกสารปลอม ยิ่งกว่านั้นเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นบริษัท พ. ได้พบใบรับรองความประพฤติปลอมอีก 18 ฉบับในตู้เก็บเอกสารของ น.ซึ่งหลบหนีไปแล้ว พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ตามป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง แต่หนังสือรับรองความประพฤติปลอมเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด สมควรให้ริบ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองหุ้นแทนทายาท & ครอบครองปรปักษ์: ผู้จัดการมรดกไม่มีอำนาจโอนทรัพย์สินให้ตนเอง
ขณะ ก. มีชีวิตอยู่โจทก์เป็นผู้ครอบครองหุ้นและใบหุ้นไว้แทน ก.เมื่อ ก.ผู้ถือหุ้นตายโจทก์ชอบที่จะมอบใบหุ้นของก.แก่จำเลยซึ่งเป็นทายาทเพื่อนำไปเวนคืนให้บริษัทรับจำเลยลงทะเบียนเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทสืบไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1132 แต่โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าว ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของ ก.ต้องถือว่าโจทก์ได้ครอบครองใบหุ้นของก.ไว้แทนทายาทของก.ต่อไป บันทึกตกลงแบ่งทรัพย์สินมีข้อความว่า ให้ทรัพย์สินที่อยู่ในนามของก.ตกเป็นของโจทก์ แต่ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาว่าบันทึกตกลงแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวเป็นโมฆะเพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 ไม่มีผลบังคับตามกฎหมายเพราะผู้ทำบันทึกต่างเป็นผู้จัดการมรดกของก.กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกจึงไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้ตามกฎหมาย การที่โจทก์ยังคงครอบครองหุ้นและใบหุ้นของก.ไว้ต่อไป ต้องถือว่าได้ครอบครองไว้แทนจำเลยซึ่งเป็นทายาท จึงไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ขึ้นยันจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองหุ้นแทนทายาทและการอ้างการครอบครองปรปักษ์ที่มิชอบ
ขณะ ก. มีชีวิตอยู่โจทก์เป็นผู้ครอบครองหุ้นและใบหุ้นแทน ก. เมื่อ ก. ตาย โจทก์มิได้มอบใบหุ้นของ ก. ให้จำเลยซึ่งเป็นทายาท เพื่อนำไปเวนคืนให้บริษัทรับจำเลยลงทะเบียนเป็นผู้ถือหุ้น การที่ศาลมีคำสั่งตั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของ ก. จึงต้องถือว่าโจทก์ครอบครองหุ้นและใบหุ้นไว้แทนทายาทของ ก. ต่อไป แม้ระหว่างเป็นผู้จัดการมรดกโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินกันว่าให้ทรัพย์สินที่อยู่ในนามของ ก. ตกเป็นของโจทก์ก็ตาม แต่ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาว่าบันทึกตกลงแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวเป็นโมฆะแล้ว ฉะนั้นการที่โจทก์ยังคงครอบครองหุ้นและใบหุ้นของ ก. ต่อไป ต้องถือว่าครอบครองไว้แทนจำเลยซึ่งเป็นทายาท โจทก์จึงไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ขึ้นยันจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4173/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ศาลวินิจฉัยว่าการฟ้องคดีใหม่ไม่เป็นฟ้องซ้ำ แม้คดีก่อนมีการสืบพยานแล้ว แต่ศาลยกฟ้องเนื่องจากขาดอำนาจฟ้อง
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในเรื่องเดียวกันนี้ครั้งหนึ่งแล้วแต่ศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอรับฟังว่าว.ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์เป็นผู้กระทำการแทนโจทก์ในคดีดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แม้คดีก่อนจะมีการสืบพยานในประเด็นแห่งคดีจนเสร็จการพิจารณาแล้วก็ตามแต่ศาลก็พิพากษายกฟ้องเพราะเหตุพยานหลักฐานโจทก์เกี่ยวกับอำนาจฟ้องยังไม่พอรับฟัง โดยยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี ทั้งปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องในคดีก่อนกับคดีนี้ก็ต่างกันการที่โจทก์มาฟ้องใหม่ในเรื่องเดียวกันนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4173/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นการต่อสู้ในคดีนอกคำให้การ และการฟ้องซ้ำที่มิได้มีประเด็นข้อเท็จจริงเดียวกัน
ปัญหาว่า ว.กรรมการบริษัทโจทก์ได้ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความหรือไม่ จำเลยที่ 3 มิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การฎีกาของจำเลยที่ 3 ในส่วนนี้จึงเป็นเรื่องนอกประเด็นนอกเหนือจากคำให้การ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในเรื่องเดียวกันครั้งหนึ่งแล้วแต่ศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานไม่พอรับฟังว่า ว.กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทโจทก์เป็นผู้กระทำการแทนโจทก์ในคดีดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แม้คดีก่อนศาลจะสืบพยานในประเด็นแห่งคดีจนเสร็จการพิจารณาแล้ว แต่ศาลก็พิพากษายกฟ้องเพราะเหตุพยานหลักฐานโจทก์เกี่ยวกับอำนาจฟ้องยังไม่พอรับฟังโดยยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี ทั้งปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องในคดีก่อนกับคดีนี้ก็ต่างกัน การที่โจทก์มาฟ้องใหม่ในเรื่องเดียวกันนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4134/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีล้มละลายซ้ำซ้อนเมื่อมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีก่อนแล้ว
ก่อนคดีนี้ จำเลยถูกฟ้องขอให้ล้มละลายในคดีหมายเลขแดงที่ล.130/2530 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2530 จำเลยอุทธรณ์ ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยถูกฟ้องขอให้ล้มละลายอีกคดีหนึ่งตามคดีหมายเลขแดงที่ ล.312/2531 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2531 ต่อมาคดีหมายเลขแดงที่ล.130/2530 ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้วจึงไม่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีดังกล่าว ส่วนคดีหมายเลขแดงที่ ล.312/2531 จำเลยอุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นสำหรับคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที8 มีนาคม 2534 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่30 เมษายน 2534 ขณะที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายในคดีนี้จำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วในคดีหมายเลขแดงที่ ล.312/2531และคดีได้ถึงที่สุดแล้ว คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดดังกล่าวจึงยังมีผลอยู่และใช้ยันแก่โจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145(1) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 153 จึงต้องจำหน่ายคดีนี้เสียตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4064/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาฎีกาถือเป็นการทิ้งฟ้อง
ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาฎีกาให้แก่โจทก์ภายใน 7 วัน ซึ่งเป็นการสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 70 วรรคท้าย จำเลยทราบคำสั่งแล้ว จำเลยหรือผู้แทนจำเลยไม่นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่โจทก์ตามกำหนดเวลาดังกล่าว แม้ข้ออ้างในฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยได้เสียค่าใช้จ่ายในการนำส่งแล้วจะเป็นจริงก็ไม่ทำให้จำเลยหมดหน้าที่ที่จะต้องจัดการนำส่งตามคำสั่งของศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติจึงเป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 246และมาตรา 247
of 103