คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
บุญส่ง วรรณกลาง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,029 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5257/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดี: คำร้องยกเลิกขายทอดตลาดหลังเสร็จสิ้นกระบวนการเป็นไปตามกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด
เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการขายทอดตลาดที่ดินจำนองทั้งสามแปลงโดยปลอดจำนองให้แก่ผู้เสนอราคาสูงสุดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2530และผู้ซื้อได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว ต่อมาศาลแพ่งได้มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินให้จดทะเบียนระงับจำนองและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสามแปลงให้ผู้ซื้อ และโจทก์ได้รับเงินสุทธิจากการขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2530 ดังนี้ ถือได้ว่าการบังคับคดีได้เสร็จลงแล้ว การที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2531 จึงเป็นการยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดหลังจากการขายทอดตลาดเสร็จสิ้นลงแล้วถึง 9 เดือน คำร้อง ของ จำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 296 วรรคสอง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4670/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำพิพากษาตามยอมและการฟ้องเพิกถอน ศาลมีอำนาจยกฟ้องหากคำขอไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้น ซึ่งตามกฎหมายคำพิพากษาของศาลจะเพิกถอนไม่ได้ เว้นแต่จะถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข กลับ หรืองดเสีย โดยคำพิพากษาของศาลในลำดับที่สูงกว่าเมื่อคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาในข้อที่ไม่อาจจะพิพากษาให้ได้โดยชอบด้วยกฎหมายเช่นนี้ ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะยกฟ้องโจทก์เสียได้ในชั้นตรวจคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131(2) ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำฟ้องและคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ทั้งหมดจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4670/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนคำพิพากษาตามยอมและการยกฟ้องกรณีข้อหาที่ไม่อาจพิพากษาได้
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นซึ่งตามกฎหมายคำพิพากษาของศาลจะเพิกถอนไม่ได้ เว้นแต่จะถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข กลับ หรืองดเสีย โดยคำพิพากษาของศาลในลำดับที่สูงกว่า เมื่อคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาในข้อที่ไม่อาจจะพิพากษาให้ได้โดยชอบด้วยกฎหมายเช่นนี้ ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะยกฟ้องโจทก์เสียได้ในชั้นตรวจคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131(2) ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำฟ้องและคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ทั้งหมด จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4658/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ยกคำขอฟ้องคดีอนาถา หลังไต่สวนพยานหลักฐานเพิ่มเติม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอฟ้องคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลย จำเลยได้ร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่โดยนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจน ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานหลักฐานที่จำเลยนำมาแสดงแล้วยังคงเห็นว่าจำเลยไม่ใช่คนยากจน ให้ยกคำร้องขอของจำเลย คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอของจำเลยในกรณีเช่นนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคสี่ มิได้บัญญัติว่าให้เป็นที่สุด จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ภายใน 7 วัน นับแต่วันศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคห้า.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4271/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินพิพาทหลังรับรองการขอออก น.ส.3ก. ทับที่ดินโจทก์ ถือเป็นการครอบครองแทนโจทก์ มิใช่เพื่อตน
จำเลยให้ถ้อยคำต่อปลัดอำเภอท้องที่ที่พิพาทรับรองว่าจำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินทับที่พิพาท และให้สัญญาว่าจะนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยมอบให้แก่เจ้าพนักงานเพื่อดำเนินการเพิกถอนส่วนที่ทับที่พิพาท ดังนั้นนับแต่จำเลยให้ถ้อยคำดังกล่าวมา การที่จำเลยยังคงครอบครองที่พิพาทอยู่ ถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์ มิใช่ครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตน จำเลยครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4271/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินทับซ้อน: การให้ถ้อยคำรับรองต่อเจ้าพนักงานถือเป็นการครอบครองแทนโจทก์ มิใช่การครอบครองเพื่อตนเอง
จำเลยให้ถ้อยคำต่อปลัดอำเภอท้องที่ที่พิพาทรับรองว่าจำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินทับที่พิพาท และให้สัญญาว่าจะนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยมอบให้แก่เจ้าพนักงานเพื่อดำเนินการเพิกถอนส่วนที่ทับที่พิพาท ดังนั้นนับแต่จำเลยให้ถ้อยคำดังกล่าวมา การที่จำเลยยังคงครอบครองที่พิพาทอยู่ ถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์มิใช่ครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตน จำเลยครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4246/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนจากธุรกิจจัดหางาน จำเลยมีส่วนร่วมรับรู้และจัดการเอกสาร
จำเลยเป็นภริยาของ จ. หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดส. ซึ่งโจทก์ระบุว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลย แม้จำเลยจะมิได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายมาสมัครไปทำงานยังต่างประเทศกับ จ.ก็ตาม แต่ในวันสมัครงานจำเลยก็เข้ามาจัดการตรวจดูเอกสารที่ผู้เสียหายยื่นประกอบใบสมัครงานว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ โดยมีจ. เป็นผู้รับเงินค่าบริการ สถานที่รับสมัครงานก็คือสำนักงานห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ซึ่งจำเลยเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วย ที่พักอาศัยของ จ. และจำเลยก็อยู่ด้านหลังสำนักงานนั้นเอง จำเลยจึงย่อมทราบว่ามีคนไปสมัครงานกับ จ. เมื่อผู้เสียหายไม่ได้ไปทำงานยังต่างประเทศและมาติดตามเรื่อง จำเลยก็รับทำหน้าที่แทน จ.และพยายามหาเงินใช้คืนผู้เสียหาย ตามพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยร่วมรับรู้ถึงการทำงานของ จ. มาโดยตลอด ถือได้ว่าเป็นตัวการร่วมกับ จ. ในข้อหาความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4045/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กลฉ้อฉลในการซื้อขายรถยนต์, ค่าสินไหมทดแทน, และขอบเขตความรับผิดของตัวแทน
จำเลยโฆษณาโอ้อวดคุณสมบัติของรถยนต์ที่ขายให้โจทก์ ว่าเป็นรถยนต์รุ่นใหม่ เพิ่งพ่นสีใหม่เป็นสีเดิม ความจริงเป็น รถยนต์รุ่นเก่า และเคยเปลี่ยนสีมาหลายครั้งกับกล่าวอ้างคุณสมบัติ ของรถยนต์ซึ่งไม่เป็นความจริงอีกหลายประการ โจทก์ตกลงซื้อรถยนต์โดยเชื่อคำโฆษณาโอ้อวดของจำเลย การซื้อขายรถยนต์จึงเกิดจากกลฉ้อฉลให้สำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่ซื้อขายกัน แต่รถยนต์ ยัง คงเป็นยี่ห้อเดียวกับที่โจทก์ต้องการซื้อ กลฉ้อฉลของจำเลยจึง มิได้ ถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลเช่นนั้นโจทก์จะไม่ซื้อรถยนต์ จาก จำเลยโจทก์ยอมรับข้อกำหนดอันหนักขึ้นเท่านั้น โจทก์ย่อมมี สิทธิ เรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้ แม้กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ 1 จะเป็นบิดาจำเลยที่ 2และการซื้อขายรถยนต์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จะทำกันที่บริษัทจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ยังมิได้ประกอบกิจการ บริษัทที่จำเลย ที่ 2ทำงานอยู่ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 ในใบสั่งซื้อ รถยนต์ ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำขึ้น คงมีแต่ลายมือชื่อ ของ จำเลย ที่ 2ลงชื่อในฐานะผู้จัดการหรือผู้ขายเท่านั้น พฤติการณ์ ดังกล่าว ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 หรือ จำเลยที่ 1 เข้าร่วมเป็นคู่สัญญาในการซื้อขายรถยนต์กับโจทก์ กฎหมายมิได้บัญญัติเรื่องอายุความเรียกค่าสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 123 ไว้ จึงต้องถือหลัก ทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ซึ่งมีกำหนด 10 ปี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3780/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งขยายระยะเวลาอุทธรณ์: ความสำคัญของกำหนดเวลา และอำนาจศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปอีก 15 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่5 เมษายน 2532 อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์มีกำหนด3 วัน หากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้น โจทก์ต้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันอ่านคำสั่งให้คู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ฟังตาม ป.วิ.อ. มาตรา 198 วรรคแรก ซึ่งใช้บังคับในขณะโจทก์ยื่นฎีกาคือภายในวันที่ 20 เมษายน 2532 โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวในวันที่ 26 เมษายน 2532 จึงพ้นกำหนดระยะเวลาที่จะอุทธรณ์ได้แล้ว ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3780/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งศาล: การไม่ปฏิบัติตามกำหนดระยะเวลาทำให้ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปอีก 15 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 5 เมษายน 2532 อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์มีกำหนด 3 วัน หากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้น โจทก์ต้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันอ่านคำสั่งให้คู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ฟังตาม ป.วิ.อ. มาตรา 198 วรรคแรกซึ่งใช้บังคับในขณะโจทก์ยื่นฎีกาคือภายในวันที่ 20 เมษายน 2532 โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวในวันที่ 26 เมษายน 2532 จึงพ้นกำหนดระยะเวลาที่จะอุทธรณ์ได้แล้ว ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
of 103