พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,029 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 142/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิโจทก์ถอนฟ้องคดีความผิดต่อส่วนตัวก่อนคดีถึงที่สุด
คดีความผิดต่อส่วนตัว โจทก์ยื่นคำร้องระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยต่อไป ขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี พอแปลได้ว่าโจทก์มีความประสงค์ขอถอนฟ้องเมื่อจำเลยไม่คัดค้าน ศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 113/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่าบิดา: การลดโทษตามกฎหมายและขอบเขตการลงโทษขั้นต่ำ
จำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(1) ประกอบกับมาตรา 80 ซึ่งมาตรา 289 บัญญัติโทษไว้สถานเดียวคือประหารชีวิตเมื่อลดมาตราส่วนโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52(1)แล้ว จึงต้องวางโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพศาลลดโทษให้อีกกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 โดยเปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 53 คงจำคุกจำเลย 25 ปี เป็นการถูกต้องแล้วและเป็นการลงโทษต่ำสุดเท่าที่กฎหมายกำหนด ไม่อาจลดโทษลงได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 103/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดชอบของพนักงานจัดเก็บพัสดุ: ไม่ต้องรับผิดหากไม่มีส่วนรู้เห็นและหัวหน้างานไม่ควบคุมดูแล
จำเลยเป็นพนักงานรับจ่ายพัสดุ ทั่วไป ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแล รักษาพัสดุ ในคลังพัสดุ ถึงแม้ ก. หัวหน้าแผนกวัสดุทั่วไปมีคำสั่งให้จำเลยกับพวกจัดเก็บพัสดุ ในคลังพัสดุ เข้าที่เก็บให้เรียบร้อยก็ตาม แต่โดยหน้าที่ ก. จะต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับพัสดุในคลังพัสดุ โดยตรง ความรับผิดชอบเกี่ยวกับพัสดุ ที่เก็บรักษาไว้ในคลังพัสดุ หาโอนไปยังจำเลยกับพวกที่จัดเก็บไม่ ทั้งจำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับพัสดุ หัวฉีด ที่หายไปตั้งแต่ต้น การที่หัวฉีด ดังกล่าวไม่ได้อยู่ในช่องเก็บของให้เรียบร้อยมาตั้งแต่แรกก็ไม่ใช่ความผิดของจำเลย นอกจากนี้ไม่ปรากฏว่ามีคนร้ายงัดคลังพัสดุ แล้วขโมยพัสดุ ไปหรือพัสดุ ได้หายไปในระหว่างที่จำเลยทำหน้าที่พนักงานรับจ่ายพัสดุ หรือในระหว่างที่จำเลยจัดเก็บพัสดุ เข้าที่เก็บ การที่จำเลยไม่รายงานเกี่ยวกับการจัดเก็บพัสดุ ให้ ก. ทราบไม่ใช่ผลโดยตรง อันเป็นเหตุให้หัวฉีด ของโจทก์หายไป ก. สามารถที่จะตรวจตราพัสดุ ในคลังและสั่งให้ผู้อื่นเข้าไปทำหน้าที่แทนจำเลยได้ตลอดเวลา การกระทำของจำเลยจึงหาเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้หัวฉีด ของโจทก์สูญหายไปไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 103/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของพนักงานรับจ่ายพัสดุต่อการสูญหายของพัสดุในคลัง: ผู้รับผิดชอบหลักคือนายกิตติ
จำเลยเป็นเพียงพนักงานรับจ่ายพัสดุทั่วไป ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลรักษาพัสดุในคลังพัสดุ แม้ว่า ก.ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกของจำเลยมีคำสั่งให้จำเลยกับพวกจัดเก็บพัสดุเข้าที่เก็บให้เรียบร้อยก็ตาม แต่โดยหน้าที่ ก. จะต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับพัสดุโดยตรง ความรับผิดชอบดังกล่าวจึงหาโอนไปยังจำเลยกับพวกไม่การที่จำเลยไม่รายงานให้ ก.ทราบว่าหัวฉีดที่ใช้กับเครื่องจักรผลิตขวดหาไม่พบหรือสูญหาย แม้จะทำให้ ก.เข้าใจผิดและหลงเชื่อว่าหัวฉีดยังมีอยู่ในคลังและจัดเก็บเข้าช่องเก็บถูกต้องแล้ว ก.จึงไม่ได้ตรวจสอบ จนต่อมาอะไหล่นั้นถูกคนร้ายลักไป ก็ไม่ใช่ผลโดยตรงอันเป็นเหตุให้หัวฉีดของโจทก์หายไป และไม่ใช่เป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้อื่น โดยมีพยานยืนยันเห็นจำเลยในที่เกิดเหตุและถืออาวุธปืน
เมื่อเสียงปืนดังขึ้น บ. เห็นคนแปลกหน้า 2 คน ยืนถืออาวุธปืนคนละกระบอกและวิ่งผ่านหน้า ห. หนีเข้าป่าไป ต่อมาตำรวจพบจำเลยกับพวกเดินอยู่จึงขอตรวจค้น แต่จำเลยกับพวกวิ่งหนี ตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนพามาให้ ห. ดูตัวห. ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนหนึ่งที่วิ่งผ่านตนไป และ บ. ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนหนึ่งที่ถืออาวุธปืนในที่เกิดเหตุประกอบกับจำเลยมีลักษณะเตี้ยเป็นพิเศษเป็นลักษณะเด่นชัดจำได้ง่าย ทั้งเหตุเกิดขึ้นใกล้เวทีชกมวยย่อมมีแสงสว่างเห็นได้ถนัด เชื่อว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่ บ. กับ ห. เห็น แม้จะไม่มีผู้ใดรู้เห็นขณะเกิดเหตุ แต่เมื่อขณะเกิดเหตุจำเลยกับพวกเท่านั้นถืออาวุธปืนอยู่ และเสียงปืนดังขึ้นจากกลุ่มของจำเลยกับพวก ถ้าจำเลยไม่ได้ยิง พวกของจำเลยก็ต้องยิง การที่จำเลยวิ่งหนีไปพร้อมกับพวกโดยถืออาวุธปืนไปด้วยกันเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันยิงผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันยิงผู้อื่นเสียชีวิต พยานยืนยันจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุ แม้ไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์โดยตรง
เกิดเหตุเวลากลางคืนใกล้เวทีชกมวยซึ่งมีแสงสว่างเห็นได้ถนัด แม้ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยยิงผู้ตาย แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเมื่อเสียงปืนดัง ขึ้นมี บ. พยานซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมองไปตามเสียงปืนเห็นจำเลยกับพวกอีก 1 คน ยืนถืออาวุธปืนอยู่คนละกระบอกแล้ววิ่งผ่าน ม. พยานอีกคนหนึ่งเข้าป่าไป ขณะนั้นเจ้าหน้าที่สายตรวจทราบเหตุทางวิทยุจึงขับรถมายังที่เกิดเหตุพบจำเลยกับพวกคนหนึ่งเดิน อยู่จึงขอตรวจค้นจำเลยกับพวกวิ่งหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนแล้วพาจำเลยมายังที่เกิดเหตุ ม. ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุเบิกความว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่วิ่งผ่านพยานหนีเข้าป่าไปและหลังเกิดเหตุสิบกว่าวัน บ. มาดู ตัวจำเลยและยืนยันว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งในจำนวนสองคนที่ยืนถืออาวุธปืนอยู่ในที่เกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุมีแต่จำเลยกับพวกเท่านั้นที่ถืออาวุธปืนอยู่ เสียงปืนดัง มาจากกลุ่มของจำเลยกับพวกซึ่งมีเพียง2 คน พฤติการณ์ดังนี้ถ้า จำเลยไม่ได้ยิงพวกของจำเลยก็ต้องยิงการที่จำเลยวิ่งหนีไปพร้อมกับพวกโดยถืออาวุธปืนไปด้วยแสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันที่จะยิงผู้ตาย พยานโจทก์ดังกล่าวจึงฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 84/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอพิสูจน์ความผิดจำเลย ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัย
โจทก์มีแต่คำเบิกความของผู้เสียหายคนเดียวโดยขาดพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน ทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายมีน้ำหนักน้อยประกอบกับขณะที่เกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน จำเลยกับพวกรวม 4 คน รุม ชกต่อยทำร้ายผู้เสียหาย ผู้เสียหายสวมแว่นสายตา เป็นประจำ คนร้ายเอามือปิดตา และทำร้ายบริเวณใต้ตา จากลักษณะบาดแผลที่ตา ถ้าผู้เสียหายใส่แว่นตาแว่นตาน่าจะแตก เชื่อว่าแว่นสายตาของผู้เสียหายน่าจะหลุดตอนถูกคนร้ายเอามือปิดตา หรือหลุดหรือแตก ขณะถูกทำร้ายใต้ตา ผู้เสียหายอ้างว่าเห็นหน้าจำเลย ขณะที่ผู้เสียหายล้มลงจึงเป็นที่น่าสงสัยว่าผู้เสียหายจะมองเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจนหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227วรรคสอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 28/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องรุกล้ำที่ดินและค่าเสียหายจากการก่อสร้างกีดขวางการใช้ประโยชน์ที่ดินของโจทก์
โจทก์สร้างศูนย์การค้า และอาคารพาณิชย์เพื่อให้เช่าและจำหน่ายจึงมีความจำเป็นต้องสร้างถนนภายในบริเวณศูนย์การค้าและอาคารพาณิชย์ เพื่อให้บุคคลที่อยู่อาศัยในศูนย์การค้าและประชาชนทั่วไปใช้เป็นทางออก นอกจากนี้โจทก์ยังจัดยามเฝ้าดูแล ถนนทางเข้าออกบริเวณศูนย์การค้าตลอดเวลา เป็นการแสดงให้เห็นว่าโจทก์ยังคงยึดถือครอบครองถนนอยู่ และโจทก์อนุญาตให้จำเลยใช้ถนนและทางเท้าเข้าออกโรงแรมจำเลยซึ่งสร้างติดกับที่ดินโจทก์พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาที่จะยกถนนและทางเท้าดังกล่าวเป็นทางสาธารณะ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ปัญหาที่ว่าศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยเกี่ยวกับคดีโจทก์เรื่องค่าเสียหายขาดอายุความไม่ชอบ เพราะจำเลยให้การต่อสู้ไว้แล้วนั้นจำเลยให้การต่อสู้เกี่ยวกับอายุความเฉพาะการก่อสร้างชั้นลอยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์เท่านั้น มิได้ยกอายุความในเรื่องการก่อสร้างถนน และทำคันซีเมนต์ ปิดกั้นถนนหน้าโรงแรมจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 28/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำที่ดินและทางเท้า, ค่าเสียหาย, อายุความ, การยกประเด็นข้อกฎหมายใหม่ในชั้นฎีกา
โจทก์สร้างศูนย์การค้าและอาคารพาณิชย์เพื่อให้เช่าและจำหน่ายจึงมีความจำเป็นต้องสร้างถนนภายในบริเวณศูนย์การค้าและอาคารพาณิชย์เพื่อให้บุคคลที่อยู่อาศัยในศูนย์การค้าและประชาชนทั่วไปใช้เป็นทางเข้าออก เพื่อประโยชน์ในกิจการค้าขายของผู้ที่เช่าหรือซื้ออาคารพาณิชย์ และโจทก์ได้จัดยามเฝ้าดูแลถนนหนทางเข้าออกบริเวณศูนย์การค้าตลอดเวลา ทั้งโจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยใช้ถนนและทางเท้าเข้าออกโรงแรมจำเลยซึ่งสร้างติดกับที่ดินของโจทก์ แสดงให้เห็นว่าโจทก์ยังคงยึดถือครอบครองถนนภายในบริเวณศูนย์การค้าอยู่ไม่ได้มีเจตนาที่จะยกถนนและทางเท้านั้นให้เป็นทางสาธารณะ เมื่อจำเลยปลูกสร้างอาคารรุกล้ำและทำให้ถนนดังกล่าวเสียหาย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง จำเลยสร้างถนนหน้าโรงแรมจำเลยสูงกว่าถนนอื่นภายในบริเวณศูนย์การค้าของโจทก์ และทำคันซีเมนต์กั้นเพื่อไม่ให้น้ำไหลเข้าไปที่ถนนหน้าโรงแรมจำเลย เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยฝ่ายเดียวโดยมิได้คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่นซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณศูนย์การค้าของโจทก์ ทั้งถนนที่จำเลยเสริมสร้างให้สูงขึ้นเป็นถนนของโจทก์ และโจทก์ยังรับผิดชอบเกี่ยวกับถนนทั้งหมดภายในบริเวณศูนย์การค้าของโจทก์ โจทก์จึงได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลย จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ค่าเสียหายที่จำเลยสร้างโครงเหล็กรุกล้ำทางเท้าของโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่โจทก์ 4,000 บาท จำเลยมิได้ยกประเด็นข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก จำเลยให้การต่อสู้เกี่ยวกับอายุความเฉพาะการก่อสร้างชั้นลอยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์เท่านั้น มิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ในเรื่องการก่อสร้างถนน และทำคันซีเมนต์ปิดกั้นถนนหน้าโรงแรมจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากการประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่สหกรณ์ในการส่งมอบเงินกู้
จำเลยเป็นเลขานุการคณะกรรมการดำเนินการของสหกรณ์โจทก์จำเลยได้รับเงินกู้ของ ค.และพ. ไปจากโจทก์โดยไม่มีหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยรับเงินกู้แทน เงินดังกล่าวจึงเป็นของโจทก์อยู่ จำเลยมีหน้าที่ต้องนำเงินกู้ไปมอบให้แก่ผู้กู้ตามหน้าที่และข้อบังคับของโจทก์ การที่จำเลยมอบเงินกู้ให้ผู้อื่นรับไปมอบให้ผู้กู้ เมื่อผู้กู้ไม่ได้รับเงินกู้ ดังนี้จำเลยกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง เป็นการละเมิดต่อโจทก์.