คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
บุญส่ง วรรณกลาง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,029 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3295/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อ: การเลิกสัญญา, ค่าเสียหาย, และดอกเบี้ยตามสัญญา vs. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
สัญญามีข้อความตกลงเอาทรัพย์สินออกให้เช่าซื้อ โดยตกลงราคาเป็นเงิน 165,312 บาท กำหนดผ่อนชำระรวม 36 งวด งวดละ 4,592 บาทและกำหนดว่าถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดถือว่าสัญญาเลิกกันทันที เจ้าของริบบรรดาเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระแล้วทั้งหมดเป็นของเจ้าของโดยผู้เช่าซื้อไม่มีสิทธิเรียกร้องคืน และผู้เช่าซื้อยอมส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนแก่เจ้าของโดยพลัน ใน สภาพเรียบร้อยด้วยค่าใช้จ่ายของผู้เช่าซื้อเอง ยอมให้เจ้าของหรือผู้แทนเข้ายึดถือครอบครองทรัพย์ได้ ถ้าเจ้าของต้องเสียค่าติดตามทรัพย์ ผู้เช่าซื้อต้องชดใช้คืนให้ หรือต้องส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง และเมื่อมีการเลิกสัญญาในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินให้ริบบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วเป็นของเจ้าของทรัพย์ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาเช่าซื้อการที่สัญญากำหนดให้เจ้าของมีสิทธิโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อให้กับบุคคลใดก็ได้และที่สัญญามิได้ระบุกำหนดให้ทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเมื่อจำเลยได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญา ก็ไม่ทำให้สัญญาเช่าซื้อกลายเป็นสัญญาอื่น ข้อสัญญาที่ระบุว่า "ถ้าเจ้าของขายทรัพย์สินที่เช่าซื้อไปแล้วยังไม่คุ้มราคาค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระทั้งหมดตามสัญญานี้ กับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ผู้เช่าซื้อจะชดใช้ให้เจ้าของจนครบถ้วน" ถือเป็นข้อสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้ซื้อผิดสัญญา และเป็นข้อตกลงยินยอมของคู่สัญญา ย่อมใช้บังคับกันได้ไม่มีกฎหมายห้ามและข้อสัญญาดังกล่าวเป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ ข้อสัญญาที่ระบุว่า "ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระหนี้หรือค้างเงินใด ๆ แก่เจ้าของ ผู้เช่าซื้อยอมเสียดอกเบี้ยสำหรับเงินที่ค้าง"นั้น ค่าเสียหายที่โจทก์ขายทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อไม่ได้ราคาเท่ากับราคาเช่าซื้อ ไม่ใช่เงินที่ผู้เช่าซื้อค้างชำระตามความหมายของค้างเงินใด ๆ แก่เจ้าของตามสัญญาดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามอัตราที่สัญญาดังกล่าวกำหนด คงเรียกได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224เท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3295/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อ: การเลิกสัญญา, ค่าเสียหาย, เบี้ยปรับ, และดอกเบี้ยตามสัญญา
สัญญามีข้อความตกลงเอาทรัพย์สินออกให้เช่าซื้อ โดยตกลงราคาเป็นเงิน 165,312 บาท กำหนดผ่อนชำระรวม 36 งวด งวดละ 4,592 บาทและกำหนดว่าถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดถือว่าสัญญาเลิกกันทันที เจ้าของริบบรรดาเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระแล้วทั้งหมดเป็นของเจ้าของโดยผู้เช่าซื้อไม่มีสิทธิเรียกร้องคืน และผู้เช่าซื้อยอมส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนแก่เจ้าของโดยพลัน ใน สภาพเรียบร้อยด้วยค่าใช้จ่ายของผู้เช่าซื้อเอง ยอมให้เจ้าของหรือผู้แทนเข้ายึดถือครอบครองทรัพย์ได้ ถ้าเจ้าของต้องเสียค่าติดตามทรัพย์ ผู้เช่าซื้อต้องชดใช้คืนให้ หรือต้องส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง และเมื่อมีการเลิกสัญญาในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินให้ริบบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วเป็นของเจ้าของทรัพย์ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาเช่าซื้อการที่สัญญากำหนดให้เจ้าของมีสิทธิโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อให้กับบุคคลใดก็ได้และที่สัญญามิได้ระบุกำหนดให้ทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเมื่อจำเลยได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญา ก็ไม่ทำให้สัญญาเช่าซื้อกลายเป็นสัญญาอื่น
ข้อสัญญาที่ระบุว่า "ถ้าเจ้าของขายทรัพย์สินที่เช่าซื้อไปแล้วยังไม่คุ้มราคาค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระทั้งหมดตามสัญญานี้ กับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ผู้เช่าซื้อจะชดใช้ให้เจ้าของจนครบถ้วน" ถือเป็นข้อสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้ซื้อผิดสัญญา และเป็นข้อตกลงยินยอมของคู่สัญญา ย่อมใช้บังคับกันได้ไม่มีกฎหมายห้ามและข้อสัญญาดังกล่าวเป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ
ข้อสัญญาที่ระบุว่า "ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระหนี้หรือค้างเงินใด ๆ แก่เจ้าของ ผู้เช่าซื้อยอมเสียดอกเบี้ยสำหรับเงินที่ค้าง"นั้น ค่าเสียหายที่โจทก์ขายทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อไม่ได้ราคาเท่ากับราคาเช่าซื้อ ไม่ใช่เงินที่ผู้เช่าซื้อค้างชำระตามความหมายของค้างเงินใด ๆ แก่เจ้าของตามสัญญาดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามอัตราที่สัญญาดังกล่าวกำหนด คงเรียกได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224เท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3295/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อ: สิทธิเจ้าของในการเรียกค่าเสียหายเมื่อผู้เช่าซื้อผิดสัญญา และลักษณะของข้อตกลงเบี้ยปรับ
สัญญาเช่าซื้อที่กำหนดให้เจ้าของมีสิทธิโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อให้กับบุคคลใด ก็ได้ และที่สัญญามิได้ระบุกำหนดให้ ทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อ ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้เช่าซื้อ เมื่อผู้เช่าซื้อได้ ชำระเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนตาม ที่กำหนดไว้ในสัญญาหาทำให้สัญญาเช่าซื้อกลายเป็นสัญญาอย่างอื่นไปไม่ ข้อสัญญาเช่าซื้อที่ระบุว่า "ถ้า ผู้ซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด ก็ดี กระทำผิดสัญญาอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ...ถือ ว่าสัญญาเลิกกันทันทีโดย เจ้าของไม่ต้องบอกกล่าว ...ถ้า เจ้าของขายทรัพย์สินที่เช่าซื้อ ไปแล้วยังไม่คุ้ม ราคาค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระทั้งหมดตาม สัญญานี้กับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นผู้เช่าซื้อจะชดใช้ให้เจ้าของจนครบถ้วน" ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อ เมื่อผู้เช่าซื้อผิดสัญญา และเป็นข้อตกลงยินยอมของคู่สัญญาย่อมใช้บังคับกันได้ ไม่มีกฎหมายห้าม ดังนี้ เป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3190/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หย่าโดยความยินยอมจากบันทึกข้อตกลง & สินสมรสจากทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส
การที่โจทก์ จำเลย ประสงค์จะหย่าขาดจากกันจึงไปทำบันทึกในรายงานประจำวัน ณ สถานีตำรวจมีข้อความว่าโจทก์และจำเลยจะทำการหย่าร้างจากการเป็นสามีภริยากันให้ถูกต้องตามกฎหมายในภายหลังส่วนเรื่องทรัพย์สินของสามีภริยาส่วนตัวจะไปทำความตกลงกันเองโดยโจทก์และจำเลยได้ลงลายมือชื่อในบันทึกดังกล่าว และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 2 นาย ลงลายมือชื่อไว้ด้วย นั้น แม้ในบันทึกดังกล่าวจะไม่ได้ระบุว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายลงลายมือชื่อในฐานะพยาน แต่เจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวก็กระทำในฐานะเป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติงานตามหน้าที่และรับรู้ข้อตกลงของโจทก์จำเลย ถือได้ว่าเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสองเป็นพยานในบันทึกข้อตกลงนี้ เมื่อข้อความในบันทึกดังกล่าวระบุอย่างชัดแจ้งว่าโจทก์ จำเลยจะทำการหย่าร้างกันตามกฎหมาย โดยโจทก์จำเลยได้ลงลายมือชื่อในบันทึก และมีพยานลงลายมือชื่ออีก 2 คนแล้วบันทึกดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงการหย่าโดยความยินยอมตาม ป.พ.พ.มาตรา 1514 วรรคสอง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนหย่าได้ ที่ดินและบ้านโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์มาหลังจากทำการสมรสกับจำเลยแล้วโดยโจทก์และจำเลยร่วมกันซื้อมา จึงเป็นสินสมรส ตู้เย็น โทรทัศน์สี และตู้ลำโพง อันเป็นของใช้ภายในบ้านเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส จึงเป็นสินสมรส ที่ดินซึ่งจำเลยซื้อมาในระหว่างสมรสและมีชื่อ โจทก์ จำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน โดยจำเลยนำเงินที่ได้จากการค้าขายและเงินเดือนไปซื้อ นั้น เมื่อเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยได้มาระหว่างสมรส จึงเป็นสินสมรส การที่จำเลยนำเงินที่เป็นสินสมรสไปซื้อที่ดิน ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินสมรสด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3190/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหย่าโดยความยินยอม: บันทึกข้อตกลงที่มีพยานเจ้าพนักงานตำรวจ
ตามบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีของโจทก์จำเลยที่ระบุว่า"นายสุรชัยและนางจุฑาทิตจะทำการหย่าร้างจากการเป็นสามีภริยากันให้ถูกต้องตามกฎหมายในภายหลัง... ส่วนเรื่องทรัพย์สินของสามีภริยาส่วนตัวจะไปทำความตกลงกันเอง..." โดยโจทก์จำเลยได้ลงลายมือชื่อในบันทึกนั้นถือได้ว่าเป็นข้อตกลงที่โจทก์จำเลยจะหย่ากันตามกฎหมายแม้ในบันทึกดังกล่าวจะไม่ได้ระบุว่า เจ้าพนักงานตำรวจสองนายที่ลงชื่อไว้นั้นลงลายมือชื่อในฐานะเป็นพยาน แต่เมื่อผู้ที่ลงลายมือชื่อนั้นเป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติงานตามหน้าที่และรับรู้ข้อตกลงของโจทก์จำเลย ถือได้ว่าเป็นพยานในบันทึกข้อตกลงการหย่าโดยความยินยอมแล้ว บันทึกดังกล่าวจึงเป็นการหย่าโดยความยินยอมของโจทก์จำเลยโดยทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1514 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3190/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหย่าโดยความยินยอมจากบันทึกข้อตกลงที่มีพยานรับรอง
ตามบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีของโจทก์จำเลยที่ระบุว่า"นายสุรชัยและนางจุฑาทิตจะทำการหย่าร้างจากการเป็นสามีภริยากันให้ถูกต้องตามกฎหมายในภายหลัง... ส่วนเรื่องทรัพย์สินของสามีภริยาส่วนตัวจะไปทำความตกลงกันเอง..." โดยโจทก์จำเลยได้ลงลายมือชื่อในบันทึกนั้นถือได้ว่าเป็นข้อตกลงที่โจทก์จำเลยจะหย่ากันตามกฎหมายแม้ในบันทึกดังกล่าวจะไม่ได้ระบุว่า เจ้าพนักงานตำรวจสองนายที่ลงชื่อไว้นั้นลงลายมือชื่อในฐานะเป็นพยาน แต่เมื่อผู้ที่ลงลายมือชื่อนั้นเป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติงานตามหน้าที่และรับรู้ข้อตกลงของโจทก์จำเลย ถือได้ว่าเป็นพยานในบันทึกข้อตกลงการหย่าโดยความยินยอมแล้ว บันทึกดังกล่าวจึงเป็นการหย่าโดยความยินยอมของโจทก์จำเลยโดยทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1514 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3179/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลคดีเด็กและเยาวชน: พิจารณาคดีอาญาเด็ก แม้ฟ้องหลังอายุ 16 ปี
คดีอาญาฐานปล้นทรัพย์ที่ขณะจำเลยกระทำผิดมีอายุไม่เกินกว่า16 ปีบริบูรณ์ แม้ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีจำเลยมีอายุ 16 ปี 6 เดือนเศษแล้ว โจทก์ก็ต้องฟ้องต่อศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3139/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายระยะเวลาวางค่าฤชาธรรมเนียม: เหตุสุดวิสัยต้องเกิดขึ้นก่อนครบกำหนด และอาการป่วยเล็กน้อยไม่ถือเป็นเหตุสุดวิสัย
จำเลยไม่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้ แทนโจทก์มาวางศาลภายในกำหนดที่ศาลชั้นต้นขยายระยะเวลาให้ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยต่อ มาจำเลยยื่นคำร้องขอนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวาง คำร้องดังกล่าวเป็นการขอขยายระยะเวลาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ซึ่งจำเลยจะต้องมีคำร้องขอเสียก่อนครบกำหนด มิฉะนั้นจะขอขยายระยะเวลาอีกไม่ได้ เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย การที่จำเลยป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ก็ดีและหาเงินได้ไม่ทันก็ดี ถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย จำเลยจึงไม่มีสิทธินำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางตามคำร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3139/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอขยายระยะเวลาวางค่าฤชาธรรมเนียมเกินกำหนด และเหตุสุดวิสัยที่ไม่ครอบคลุมอาการป่วยไข้หวัดใหญ่
จำเลยไม่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้ แทนโจทก์มาวางศาลภายในกำหนดที่ศาลชั้นต้นขยายระยะเวลาให้ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยต่อ มาจำเลยยื่นคำร้องขอนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวาง คำร้องดังกล่าวเป็นการขอขยายระยะเวลาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ซึ่ง จำเลยจะต้องมีคำร้องขอเสียก่อนครบกำหนด มิฉะนั้นจะขอขยายระยะเวลาอีกไม่ได้เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย การที่จำเลยป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ก็ดีและหาเงินได้ไม่ทันก็ดีถือ ไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย จำเลยจึงไม่มีสิทธินำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางตาม คำร้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3139/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายระยะเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียม: เหตุป่วยไข้หวัดใหญ่ไม่ถือเป็นเหตุสุดวิสัย
จำเลยอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้อง ใช้ แทนโจทก์เมื่อครบกำหนดระยะเวลาวางเงินไปแล้ว โดย อ้าง ว่าจำเลยป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่และหาเงินได้ไม่ทัน ถือ ไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยจำเลยจึงไม่มีสิทธินำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางตาม คำร้อง.
of 103