พบผลลัพธ์ทั้งหมด 924 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2232/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจับกุมและตรวจค้นยาเสพติด: พยานหลักฐานเชื่อมโยง, ความน่าเชื่อถือของพยาน, และการพิสูจน์ข้อเท็จจริง
คำเบิกความของพยานโจทก์มีข้อเท็จจริงสอดคล้องต้องกันโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจค้นพบของกลางในคดีประกอบกับเจ้าหน้าที่ของสำนักคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.)เข้าทำการจับกุมและตรวจค้นกระเป๋าในทันทีที่ส่งมอบซึ่งพบเฮโรอีนของกลางบรรจุอยู่ในกระเป๋าพยานโจทก์ล้วนเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนจึงไม่มีเหตุที่จะทำให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความให้เป็นผลร้ายหรือปรักปรำจำเลยและไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการสร้างเรื่องเชื่อมโยงบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อเอาผิดแก่จำเลยหรือเพื่อเอาผลงานการจับกุมแม้จะเบิกความแตกต่างและขัดแย้งกันบ้างเกี่ยวกับจำนวนผู้ที่เข้าจับกุมการซุ่มดูเหตุการณ์ก่อนเข้าทำการจับกุมจุดที่มีการส่งมอบของกลางตลอดจนการนำตัวจำเลยไปที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.)ก็ตามแต่ข้อแตกต่างดังกล่าวล้วนเป็นเพียงพลความหาใช่เป็นสาระสำคัญอันจะทำให้น้ำหนักในการรับฟังพยานโจทก์ลดน้อยลงไปจนไม่อาจรับฟังได้ว่ามีเหตุเกิดขึ้นจริงดังที่พยานโจทก์เบิกความไม่และเมื่อพิจารณาแผนที่เกิดเหตุภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุประกอบการเดินเผชิญสืบเมื่อฟังประกอบพยานบุคคลของโจทก์แล้วทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นหาใช่ผู้จับกุมทำงานเพียงเพื่อผลงานการจับกุมและจับกุมจำเลยจากสถานที่หนึ่งแล้วนำมาผูกเรื่องเชื่อมโยงกับการจับกุมพวกของจำเลยดังที่จำเลยฎีกาไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2232/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์หลักฐานการครอบครองยาเสพติด: พยานหลักฐานเชื่อมโยง การตรวจค้น และความน่าเชื่อถือของพยาน
คำเบิกความของพยานโจทก์มีข้อเท็จจริงสอดคล้องต้องกันโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจค้นพบของกลางในคดีประกอบกับเจ้าหน้าที่ของสำนักคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) เข้าทำการจับกุมและตรวจค้นกระเป๋าในทันทีที่ส่งมอบซึ่งพบเฮโรอีนของกลางบรรจุอยู่ในกระเป๋า พยานโจทก์ล้วนเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดต่อ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะทำให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความให้เป็นผลร้ายหรือปรักปรำจำเลย และไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการสร้างเรื่องเชื่อมโยงบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อเอาผิดแก่จำเลย หรือเพื่อเอาผลงานการจับกุม แม้จะเบิกความแตกต่างและขัดแย้งกันบ้างเกี่ยวกับจำนวนผู้ที่เข้าจับกุม การซุ่มดูเหตุการณ์ก่อนเข้าทำการจับกุม จุดที่มีการส่งมอบของกลางตลอดจนการนำตัวจำเลยไปที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ก็ตาม แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวล้วนเป็นเพียงพลความหาใช่เป็นสาระสำคัญอันจะทำให้น้ำหนักในการรับฟังพยานโจทก์ลดน้อยลงไปจนไม่อาจรับฟังได้ว่ามีเหตุเกิดขึ้นจริงดังที่พยานโจทก์เบิกความไม่ และเมื่อพิจารณาแผนที่เกิดเหตุภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุประกอบการเดินเผชิญสืบ เมื่อฟังประกอบพยานบุคคลของโจทก์แล้ว ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น หาใช่ผู้จับกุมทำงานเพียงเพื่อผลงานการจับกุม และจับกุมจำเลยจากสถานที่หนึ่งแล้วนำมาผูกเรื่องเชื่อมโยงกับการจับกุมพวกของจำเลยดังที่จำเลยฎีกาไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1992/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าและการติดตั้งป้ายโฆษณาบนดาดฟ้าตึก ไม่ถือเป็นการละเมิดหากไม่มีเจตนาจงใจกลั่นแกล้ง
โจทก์เช่าดาดฟ้าตึกแถวติดตั้งป้ายโฆษณาสินค้าของโจทก์ส่วนจำเลยเป็นผู้เช่าตึกแถวที่อยู่ติดกันและได้ติดตั้งป้ายโฆษณาของจำเลยปิดบังป้ายโฆษณาของโจทก์ดังนี้เมื่อโจทก์ใช้ประโยชน์ในตึกแถวที่เช่าได้จำเลยก็ย่อมติดตั้งป้ายโฆษณางานในธุรกิจของจำเลยได้เช่นกันโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยติดตั้งป้ายโฆษณาภายหลังโจทก์หรือไม่เพราะการติดตั้งป้ายโฆษณาทั้งของโจทก์และจำเลยต่างก็ติดตั้งบนดาดฟ้าของตึกแถวที่แต่ละฝ่ายเช่ามาทำประโยชน์ถือได้ว่าทั้งโจทก์และจำเลยได้ใช้ประโยชน์จากตึกแถวที่เช่าตามแดนแห่งสิทธิของสัญญาเช่าที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ตามกฎหมายเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยติดตั้งป้ายเพื่อจงใจกลั่นแกล้งโจทก์โดยมุ่งประสงค์จะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์การติดตั้งป้ายโฆษณาของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายแม้จะปิดบังป้ายโฆษณาสินค้าของโจทก์ก็หาเป็นการละเมิดต่อโจทก์ด้วยการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา421ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1992/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการใช้พื้นที่เช่าและการติดตั้งป้ายโฆษณา การกระทำโดยชอบและไม่มีเจตนาทำให้เสียหาย
ผู้กระทำหรือผู้ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นอันเป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา421นั้นต้องมีเจตนาหรือจงใจกลั่นแกล้งโดยมุ่งประสงค์ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นฝ่ายเดียวเมื่อโจทก์ติดตั้งป้ายโฆษณาสินค้าของโจทก์บนดาดฟ้าตึกแถวที่โจทก์เช่าเพื่อประโยชน์ในทางการค้าของโจทก์ได้จำเลยก็ย่อมมีสิทธิติดตั้งป้ายโฆษณางานในธุรกิจของจำเลยบนดาดฟ้าตึกแถวที่จำเลยเช่าเพื่อประโยชน์ในกิจการของจำเลยได้เช่นกันโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าฝ่ายใดติดตั้งก่อนเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำเพื่อจงใจกลั่นแกล้งโจทก์แม้ป้ายโฆษณาของจำเลยจะอยู่ใกล้และปิดบังป้ายโฆษณาของโจทก์บ้างก็หาเป็นการละเมิดต่อโจทก์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1992/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการใช้ประโยชน์จากสัญญาเช่าและการติดตั้งป้ายโฆษณา การกระทำไม่เป็นละเมิดหากไม่มีเจตนา
โจทก์เช่าดาดฟ้าตึกแถวติดตั้งป้ายโฆษณาสินค้าของโจทก์ ส่วนจำเลยเป็นผู้เช่าตึกแถวที่อยู่ติดกันและได้ติดตั้งป้ายโฆษณาของจำเลยปิดบังป้ายโฆษณาของโจทก์ ดังนี้ เมื่อโจทก์ใช้ประโยชน์ในตึกแถวที่เช่าได้ จำเลยก็ย่อมติดตั้งป้ายโฆษณางานในธุรกิจของจำเลยได้เช่นกัน โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยติดตั้งป้ายโฆษณาภายหลังโจทก์หรือไม่ เพราะการติดตั้งป้ายโฆษณาทั้งของโจทก์และจำเลยต่างก็ติดตั้งบนดาดฟ้าของตึกแถวที่แต่ละฝ่ายเช่ามาทำประโยชน์ ถือได้ว่าทั้งโจทก์และจำเลยได้ใช้ประโยชน์จากตึกแถวที่เช่าตามแดนแห่งสิทธิของสัญญาเช่าที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ตามกฎหมาย เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยติดตั้งป้ายเพื่อจงใจกลั่นแกล้งโจทก์โดยมุ่งประสงค์จะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การติดตั้งป้ายโฆษณาของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จะปิดบังป้ายโฆษณาสินค้าของโจทก์ก็หาเป็นการละเมิดต่อโจทก์ด้วยการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์ตามป.พ.พ. มาตรา 421 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1905/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมของทายาทต่อการทำสัญญาซื้อขายทรัพย์มรดกของผู้จัดการมรดก และผลผูกพันตามกฎหมาย
ทายาททั้งหมดของผู้ตายได้ทำหนังสือยินยอมให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรของผู้ตายเป็นผู้จัดการมรดกมีผลเท่ากับทายาทมอบให้จำเลยแต่ผู้เดียวเป็นผู้จัดการเกี่ยวกับมรดกของผู้ตายเมื่อจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินของผู้ตายแก่โจทก์เพื่อนำเงินมาชำระหนี้กองมรดกและแบ่งปันแก่ทายาทแม้จะกระทำก่อนที่จำเลยจะได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายก็ตามแต่ทายาททั้งหมดก็ทราบดีและไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านในขณะทำสัญญาหรือภายในเวลาอันสมควรนับแต่ทราบจึงฟังได้ว่าทายาททุกคนยินยอมให้จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินแก่โจทก์และแต่ละคนเชิดให้จำเลยเป็น ตัวแทนของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา821สัญญาจึงมีผลผูกพันทายาททุกคนในอันที่จะต้องโอนขายที่ดินแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1905/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ยินยอมให้จัดการมรดก & สัญญาจะซื้อจะขาย: ผลผูกพันทายาท
จำเลยและผู้ร้องทั้งสองเป็นทายาทของ ส. เมื่อ ส.ถึงแก่กรรมผู้ร้องทั้งสองและทายาทอื่นทำหนังสือยินยอมให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดก ต่อมาจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทของ ส. และผู้ร้องทั้งสองแก่โจทก์ โดยผู้ร้องทั้งสองและทายาทอื่นทราบแล้วแต่มิได้โต้แย้งคัดค้าน ดังนี้ ฟังได้ว่าทายาททุกคนรวมทั้งผู้ร้องทั้งสองยินยอมให้จำเลยทำสัญญา และแต่ละคนเชิดให้จำเลยเป็นตัวแทนของตน แม้ขณะที่จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายนั้นจำเลยยังไม่ได้รับการแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกก็ตาม สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันผู้ร้องทั้งสองที่จะต้องโอนขายที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1905/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ยินยอมให้จัดการมรดกและทำสัญญาซื้อขาย: ผลผูกพันทายาทอื่น
จำเลยและผู้ร้องทั้งสองเป็นทายาทของส. เมื่อส.ถึงแก่กรรมผู้ร้องทั้งสองและทายาทอื่นทำหนังสือยินยอมให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกต่อมาจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทของส. และผู้ร้องทั้งสองแก่โจทก์โดยผู้ร้องทั้งสองและทายาทอื่นทราบแล้วแต่มิได้โต้แย้งคัดค้านดังนี้ฟังได้ว่าทายาททุกคนรวมทั้งผู้ร้องทั้งสองยินยอมให้จำเลยทำสัญญาและแต่ละคนเชิดให้จำเลยเป็นตัวแทนของตนแม้ขณะที่จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายนั้นจำเลยยังไม่ได้รับการแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกก็ตามสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันผู้ร้องทั้งสองที่จะต้องโอนขายที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1900/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องขัดทรัพย์บังคับคดี: สถานะคู่ความ, การขาดนัดยื่นคำให้การ, และการจำหน่ายคดี
โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยขายทอดตลาดเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาขั้นร้องขัดทรัพย์ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา288วรรคสองให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดคดีเหมือนอย่างคดีธรรมดาโดยโจทก์ร่วมมีฐานะเป็นจำเลยโจทก์หาใช่ผู้ร้องขอให้บังคับคดีจึงไม่มีฐานะเป็นจำเลยดังนั้นแม้ศาลจะมีคำสั่งในคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ให้โจทก์ให้การแก้คดีแต่เมื่อโจทก์ร่วมซึ่งมีฐานะเป็นจำเลยได้ให้การแก้คดีแล้วจึงมิใช่กรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา198วรรคแรกผู้ร้องในฐานะโจทก์ไม่จำต้องยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา198วรรคสองหาได้ไม่ การที่ศาลมีคำสั่งในคำให้การโจทก์ร่วมแต่เพียงว่า"รอฟังโจทก์จำเลยก่อน"เท่านั้นมิได้กำหนดให้ผู้ร้องดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรและได้ส่งคำสั่งโดยชอบจะถือว่าผู้ร้องทิ้งฟ้องและจำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา132หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1722/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์: การระบุความสามารถในการบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นไม่จำเป็นต้องระบุชัดเจน
คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ไม่มีข้อความว่าผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้ได้จากทรัพย์สินอื่นๆของจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาแต่ผู้ร้องได้อ้างในคำร้องว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาได้สืบทราบว่าโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยและได้ทำการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยเสร็จเรียบร้อยแล้วถือได้ว่าเป็นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ที่สมบูรณ์แล้วไม่เคลือบคลุมส่วนผู้ร้องจะสามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้หรือไม่เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องนำสืบกันในชั้นพิจารณา