พบผลลัพธ์ทั้งหมด 924 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7101/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยที่ 1 เป็นเพียงตัวกลางล่อซื้อ ย่อมไม่มีเจตนาจำหน่ายเฮโรอีน จึงไม่มีความผิด
ในการเจรจาติดต่อล่อซื้อเฮโรอีนของกลางตามที่เจ้าพนักงาน-ตำรวจสืบทราบว่าจำเลยที่ 2 มีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเฮโรอีนนั้น จ่าสิบตำรวจ ส.กับพวกได้ให้สายลับซึ่งรู้จักจำเลยที่ 1 พาไปพบจำเลยที่ 1 ให้ช่วยเจรจาในการล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่ 2 โดยจะให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 2,000 บาทจำเลยที่ 1 จึงดำเนินการตามที่จ่าสิบตำรวจ ส.กับพวกขอร้อง จนกระทั่งมีการนัดหมายส่งมอบเฮโรอีนในวันเกิดเหตุ ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 ดำเนินการให้น่าเชื่อว่าเกิดจากจำเลยที่ 1 หวังผลตอบแทน จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นเพียงคนกลางในการช่วยติดต่อเจรจาเพื่อล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่ 2 เพื่อให้การจับจำเลยที่ 2 บรรลุผลเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 รับเฮโรอีนจากจำเลยที่ 2 ก็นำมามอบให้จ่าสิบตำรวจ ส.ทันที จึงไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 1 มีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองและจำหน่ายเฮโรอีน ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนากระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7101/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำโดยหวังผลตอบแทน ไม่ถือเป็นเจตนาจำหน่ายยาเสพติด ผู้ถูกว่าจ้างเป็นเพียงคนกลาง
ในการเจรจาติดต่อล่อซื้อเฮโรอีนของกลางตามที่เจ้าพนักงานตำรวจสืบทราบว่าจำเลยที่2มีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเฮโรอีนนั้นจ่าสิบตำรวจส. กับพวกได้ให้สายลับซึ่งรู้จักจำเลยที่1พาไปพบจำเลยที่1ให้ช่วยเจรจาในการล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่2โดยจะให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยที่1เป็นเงิน2,000บาทจำเลยที่1จึงดำเนินการตามที่จ่าสิบตำรวจส. กับพวกขอร้องจนกระทั่งมีการนัดหมายส่งมอบเฮโรอีนในวันเกิดเหตุดังนี้การที่จำเลยที่1ดำเนินการให้น่าเชื่อว่าเกิดจากจำเลยที่1หวังผลตอบแทนจึงฟังได้ว่าจำเลยที่1เป็นเพียงคนกลางในการช่วยติดต่อเจรจาเพื่อล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่2เพื่อให้การจับจำเลยที่2บรรลุผลเท่านั้นเมื่อจำเลยที่1รับเฮโรอีนจากจำเลยที่2ก็นำมามอบให้จ่าสิบตำรวจส.ทันทีจึงไม่พอฟังว่าจำเลยที่1มีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองและจำหน่ายเฮโรอีนถือไม่ได้ว่าจำเลยที่1มีเจตนากระทำความผิดจำเลยที่1จึงไม่มีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6959/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ปุ๋ยเคมีปลอม: นิติบุคคลและผู้ดำเนินกิจการต้องรับผิดตาม พ.ร.บ.ปุ๋ย
ปุ๋ยเคมีที่จำเลยที่1ผลิตออกจำหน่ายมีลักษณะไม่ถูกต้องตามมาตรฐานโดยมีปริมาณธาตุอาหารรับรองต่ำกว่าร้อยละสิบจากเกณฑ์ต่ำสุดตามที่ขึ้นทะเบียนไว้จึงต้องถือว่าเป็นปุ๋ยเคมีปลอมตามพระราชบัญญัติปุ๋ยพ.ศ.2518มาตรา32(5)และเป็นกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษเป็นนิติบุคคลจำเลยที่3ผู้ดำเนินกิจการของนิติบุคคลย่อมต้องรับโทษตามที่พระราชบัญญัติปุ๋ยพ.ศ.2518มาตรา71บัญญัติไว้เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6959/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ปุ๋ยเคมีปลอม นิติบุคคลและผู้ดำเนินกิจการต้องรับผิดตาม พ.ร.บ.ปุ๋ย
ปุ๋ยเคมีที่จำเลยที่ 1 ผลิตออกจำหน่ายมีลักษณะไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน โดยมีปริมาณธาตุอาหารรับรองต่ำกว่าร้อยละสิบจากเกณฑ์ต่ำสุดตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ จึงต้องถือว่าเป็นปุ๋ยเคมีปลอมตาม พ.ร.บ.ปุ๋ย พ.ศ.2518มาตรา 32 (5) และเป็นกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษเป็นนิติบุคคลจำเลยที่ 2 ผู้ดำเนินกิจการของนิติบุคคลย่อมต้องรับโทษตามที่ พ.ร.บ.ปุ๋ยพ.ศ.2518 มาตรา 71 บัญญัติไว้ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6847/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมในที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์: ไม่แยกแยะผลกระทบกับที่ดินมีโฉนด
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1387 ไม่ได้แยกเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือที่ดินมีโฉนดให้มีผลแตกต่างกัน หากแต่บัญญัติไว้ว่าอสังหาริมทรัพย์อาจตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น ดังนี้แม้ที่ดินของจำเลยจะเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แต่ก็เป็นอสังหา-ริมทรัพย์จึงย่อมตกเป็นภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโจทก์ ซึ่งเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์เหมือนกับที่ดินของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6847/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมในที่ดิน น.ส.3ก. และอายุความครอบครองทางเดิน แม้ไม่มีกรรมสิทธิ์ก็ตกเป็นภารจำยอมได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1387ไม่ได้แยกเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือที่ดินมีโฉนดให้มีผลแตกต่างกันหากแต่บัญญัติไว้ว่าอสังหาริมทรัพย์อาจตกอยู่ในภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นดังนี้แม้ที่ดินของจำเลยจะเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แต่ก็เป็นอสังหาริมทรัพย์จึงย่อมตกเป็นภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโจทก์ซึ่งเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์เหมือนกับที่ดินของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6847/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมในที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แม้ไม่มีกรรมสิทธิ์ก็สามารถเกิดขึ้นได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 บัญญัติเพียงว่าอสังหาริมทรัพย์อาจตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น โดยไม่ได้แยกเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือที่ดินมีโฉนดให้มีผลแตกต่างกัน ดังนั้นแม้ที่ดินจำเลยทั้งสองจะเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ตกเป็นภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6778/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการครอบครองทรัพย์สินของนิติบุคคลแยกจากผู้ถือหุ้น แม้รับมรดกหุ้นเดิม
แม้อ. บิดาผู้ร้องจะเคยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยและมีหุ้นอยู่ในบริษัทจำเลยซึ่งผู้ร้องจะมีสิทธิรับมรดกของอ. ก็ตามแต่จำเลยก็เป็นนิติบุคคลซึ่งมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาแยกต่างหากจากผู้ถือหุ้นการรับมรดกของอ. ในหุ้นบริษัทจำเลยของผู้ร้องจึงหาก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ร้องจะอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินของจำเลยไม่ เมื่อผู้ร้องเข้ามาอาศัยอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทก็โดยอาศัยสิทธิของอ. ซึ่งเคยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยผู้ร้องจึงเป็นบริวารของจำเลยและไม่มีอำนาจพิเศษที่จะอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทต่อไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6778/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทรัพย์สินของบริษัทจำกัดหลังมรดก: ผู้รับมรดกไม่มีสิทธิพิเศษในทรัพย์สินของบริษัท
แม้ อ. บิดาผู้ร้องจะเคยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยและมีหุ้นอยู่ในบริษัทจำเลยซึ่งผู้ร้องจะมีสิทธิรับมรดกของ อ.ก็ตาม แต่จำเลยก็เป็นนิติบุคคลซึ่งมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาแยกต่างหากจากผู้ถือหุ้นการรับมรดกของ อ.ในหุ้นบริษัทจำเลยของผู้ร้องจึงหาก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ร้องจะอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินของจำเลยไม่ เมื่อผู้ร้องเข้ามาอาศัยอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทก็โดยอาศัยสิทธิของ อ.ซึ่งเคยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลย ผู้ร้องจึงเป็นบริวารของจำเลยและไม่มีอำนาจพิเศษที่จะอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทต่อไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6744/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ร่วมและสิทธิในการแบ่งแยกทรัพย์สิน: หลักสุจริตและข้อโต้แย้งสิทธิ
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต" ดังนั้น การที่โจทก์และ ร.เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานว่าโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยสุจริต เมื่อจำเลยกล่าวอ้างว่าโจทก์หลอกลวง ร.ให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม แต่พยานหลักฐานจำเลยไม่สามารถหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวข้างต้นได้ จึงถือว่าโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดิน
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าที่ดินและบ้านพิพาท ร.มารดาของจำเลยเป็นผู้ซื้อและใช้เงินตนเองเท่านั้น การที่จำเลยนำสืบและอุทธรณ์ว่าเงินที่ใช้ซื้อที่ดินและบ้านเป็นของจำเลยส่วนหนึ่งด้วยจึงเป็นการนำสืบและอุทธรณ์นอกคำให้การ
โจทก์และมารดาจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันโดยโจทก์รับโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทมาโดยสุจริต ทั้งไม่ได้มีนิติกรรมห้ามไม่ให้แบ่ง โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้แบ่งได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1363 วรรคแรก
โจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยไม่ปรากฏว่ามีนิติกรรมห้ามมิให้แบ่ง โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกให้แบ่งแยกที่ดินและตึกแถวพิพาทได้และก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์และจำเลยไปพบพนักงานสอบสวนแล้วบันทึกลงประจำวันไว้เป็นหลักฐานว่าผู้แจ้งทั้งสองมีปัญหาโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ ร้อยตำรวจเอก ส.พยายามไกล่เกลี่ยแล้ว แต่ตกลงกันไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายตกลงไปฟ้องร้องกันต่อศาลแพ่งเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาว่าผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ กรณีเช่นนี้ถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิของโจทก์เกิดขึ้นแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 โดยไม่จำต้องมีหนังสือบอกกล่าวขอแบ่งแยกไปยังจำเลยแล้วหรือไม่
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าที่ดินและบ้านพิพาท ร.มารดาของจำเลยเป็นผู้ซื้อและใช้เงินตนเองเท่านั้น การที่จำเลยนำสืบและอุทธรณ์ว่าเงินที่ใช้ซื้อที่ดินและบ้านเป็นของจำเลยส่วนหนึ่งด้วยจึงเป็นการนำสืบและอุทธรณ์นอกคำให้การ
โจทก์และมารดาจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันโดยโจทก์รับโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทมาโดยสุจริต ทั้งไม่ได้มีนิติกรรมห้ามไม่ให้แบ่ง โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้แบ่งได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1363 วรรคแรก
โจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยไม่ปรากฏว่ามีนิติกรรมห้ามมิให้แบ่ง โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกให้แบ่งแยกที่ดินและตึกแถวพิพาทได้และก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์และจำเลยไปพบพนักงานสอบสวนแล้วบันทึกลงประจำวันไว้เป็นหลักฐานว่าผู้แจ้งทั้งสองมีปัญหาโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ ร้อยตำรวจเอก ส.พยายามไกล่เกลี่ยแล้ว แต่ตกลงกันไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายตกลงไปฟ้องร้องกันต่อศาลแพ่งเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาว่าผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ กรณีเช่นนี้ถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิของโจทก์เกิดขึ้นแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 โดยไม่จำต้องมีหนังสือบอกกล่าวขอแบ่งแยกไปยังจำเลยแล้วหรือไม่