พบผลลัพธ์ทั้งหมด 924 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2983/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 248 วรรคแรก เนื่องจากทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท และเป็นการโต้เถียงดุลพินิจ
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด และเรียกที่ดินพิพาทคืน หากไม่สามารถคืนได้ก็ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองรวมเป็นเงิน 226,400 บาท ดังนี้เป็นการฟ้องเรียกกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนคดีของโจทก์ทั้งสองเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อโจทก์ที่ 1 ผู้เดียวฎีกา ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงเหลือเพียงราคาที่ดินของโจทก์ที่ 1 เรียกคืนจำนวน133,200 บาท ไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ที่ 1 ยื่นฎีกา ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้น โดยเชื่อว่าศาลชั้นต้นขายทอดตลาดที่ดินพิพาทจำนวนหนึ่งในสี่ส่วนของที่ดินทั้งสองแปลงเป็นการซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยสุจริต โจทก์ที่ 1 ฎีกาว่า น.ถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทของป.ในฐานะผู้จัดการมรดก ส่วนของ น.จึงมีเพียงหนึ่งในห้าส่วนของที่ดินที่ น.ถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทอื่นรวมทั้งโจทก์ที่ 1 ด้วย การขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวย่อมหมายความเฉพาะส่วนของน. ไม่รวมส่วนที่น.ถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทอื่นในฐานะผู้จัดการมรดก และจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินโดยไม่สุจริตนั้นล้วนแต่เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2856/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการก่อสร้างอาคารที่ขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครและการพิจารณาคำขออนุญาตก่อสร้าง
ก่อนโจทก์ที่ 1 ปลูกสร้างอาคาร ที่ดินที่ปลูกสร้างอาคารดังกล่าวด้านทิศเหนือและทิศใต้ติดกับทางสาธารณะซึ่งด้านทิศเหนือมีขนาดกว้างประมาณ 2 เมตร ทิศใต้กว้างประมาณ 2.20 เมตร ถึง3 เมตร และตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 72 วรรคสองได้กำหนดไว้ว่า ตึกแถว ห้องแถวอาคารพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรมและอาคารสาธารณะที่ปลูกสร้างริมทางสาธารณะที่มีความกว้างน้อยกว่า 10.00 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากศูนย์กลางทางสาธารณะอย่างน้อย 6.00 เมตร แต่โจทก์ที่ 1ได้ดำเนินการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวด้านทิศเหนือและทิศใต้เป็นแนวตะเข็บกว้างประมาณ 0.80 เมตร ไปตลอดแนวเขตกั้นไว้ระหว่างที่ดินแปลงที่จะปลูกสร้างอาคารกับทางสาธารณะก่อนยื่นคำขออนุญาตปลูกสร้างประมาณ 20 วัน เห็นได้ชัดว่าโจทก์ที่ 1 ทำเพื่อหลีกเลี่ยงข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต แม้โจทก์จะอ้างว่าแนวตะเข็บดังกล่าว ทางจำเลยที่ 1 ขยายทางสาธารณะก็ตาม โจทก์ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย แม้เขตพระนครจะเคยอนุญาตให้โจทก์ที่ 1 ปลูกสร้างอาคาร 4 ชั้นแล้วในการพิจารณาคำขออนุญาตปลูกสร้างต่อเติมอาคารเป็น 11 ชั้น จำเลยที่ 1 ก็มีสิทธิพิจารณาถึงการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวได้ การที่จำเลยที่ 1 ไม่อนุญาตให้โจทก์ปลูกสร้างอาคารพิพาท จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2856/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลูกสร้างอาคารร่นระยะอาคารโดยมิชอบ โจทก์แบ่งแยกที่ดินหลีกเลี่ยงข้อบัญญัติ จำเลยมีสิทธิไม่อนุญาตต่อเติม
ก่อนโจทก์ปลูกสร้างอาคาร ที่ดินที่ปลูกสร้างอาคารดังกล่าวด้านทิศเหนือและทิศใต้ติดกับทางสาธารณะซึ่งด้านทิศเหนือมีขนาดกว้างประมาณ 2 เมตรทิศใต้กว้างประมาณ 2.20 เมตร ถึง 3 เมตร และตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2522 ข้อ 72 วรรค 2 ได้กำหนดไว้ว่าตึกแถว ห้องแถว อาคารพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม และอาคารสาธารณะที่ปลูกสร้างริมทางสาธารณะที่มีความกว้างน้อยกว่า 10 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากศูนย์กลางทางสาธารณะอย่างน้อย 6 เมตร แต่โจทก์ได้ดำเนินการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวด้านทิศเหนือและทิศใต้เป็นแนวตะเข็บกว้างประมาณ 0.80 เมตร ไปตลอดแนวเขตกั้นไว้ระหว่างที่ดินแปลงที่จะปลูกสร้างอาคารกับทางสาธารณะก่อนยื่นคำขออนุญาตปลูกสร้างประมาณ 20 วัน เห็นได้ชัดว่าโจทก์ทำเพื่อหลีกเลี่ยงข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครมิฉะนั้นจะต้องถอยร่นแนวอาคารทั้งสองด้านห่างทางสาธารณะประมาณ 4.50 เมตรถึง 5 เมตร จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต แม้โจทก์จะอ้างว่าที่ทำแนวตะเข็บดังกล่าวเพื่อขยายทางสาธารณะ และทางจำเลยที่ 1 ขยายทางสาธารณะแล้วก็ตาม โจทก์ก็ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดกรุงเทพมหานคร โดยต้องถอยร่นแนวอาคารให้ห่างทางสาธารณะที่ขยายแล้วด้วย แม้เขตพระนครจะเคยอนุญาตให้โจทก์ปลูกสร้างอาคาร 4 ชั้นแล้วในการพิจารณาคำขออนุญาตปลูกสร้างต่อเติมอาคารเป็น 11 ชั้น จำเลยที่ 1 ก็มีสิทธิพิจารณาถึงการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายของโจทก์ดังกล่าวได้ การที่จำเลยที่ 1 ไม่อนุญาตให้โจทก์ปลูกสร้างอาคารพิพาท จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2808/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตให้สืบพยานนอกประเด็นข้อพิพาท ศาลชอบแล้ว
คำให้การของจำเลยและประเด็นข้อพิพาทไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ แต่จำเลยขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยทั้งสองปากในประเด็นว่าธนาคารโจทก์ สาขาพิจิตร ได้หักเงินจากบัญชีของจำเลยทุกเดือนชำระหนี้ให้โจทก์ตามฟ้องเสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นการขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทในคดีจึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะไม่อนุญาตให้จำเลยส่งประเด็นและงดสืบพยานจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2808/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งประเด็นไปสืบพยานนอกประเด็นข้อพิพาท ศาลชอบที่จะไม่อนุญาต
ตามคำให้การของจำเลยและตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดในการชี้สองสถาน ไม่มีประเด็นข้อที่ว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ เมื่อคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทกันดังกล่าว แต่จำเลยขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยทั้งสองปากในประเด็นนั้น ดังนี้ จึงเป็นการขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทในคดี ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยส่งประเด็นและงดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2741/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานขายยาเสพติดร่วมกัน โดยมีเจตนาดำเนินการตั้งแต่ต้นจนจบถือเป็นตัวการ
การที่จำเลยติดต่อขายเฮโรอีนให้ ห.พาส. มาเจรจาเรื่องราคากับ ห. โดยจำเลยนั่งอยู่ด้วย เมื่อตกลงราคากันได้ก็นัดส่งมอบเฮโรอีนโดยมีเงื่อนไขว่า ห. ได้รับเฮโรอีนก่อนแล้วจึงจะนำเงินไปชำระที่บ้านจำเลย ถึงวันนัดจำเลยมาพบห. ตามนัด จำเลยบอกสถานที่ที่เก็บเฮโรอีนและให้คนที่มากับจำเลยนำทาง ห.ไปรับเฮโรอีนจากส. ซึ่งรออยู่เมื่อได้เฮโรอีนแล้ว ห.กับส. เดินทางไปบ้านจำเลยเพื่อชำระเงิน แสดงว่าจำเลยเป็นผู้ดำเนินการขายเฮโรอีนร่วมกับ ส.มาตั้งแต่ต้นจนมีการส่งมอบให้ห. จึงเป็นการกระทำในฐานะเป็นตัวการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2741/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วมในการขายยาเสพติด: การกระทำตั้งแต่ต้นจนส่งมอบ
การที่จำเลยติดต่อขายเฮโรอีนให้ ห. พา ส.มาเจรจาเรื่องราคากับ ห. โดยจำเลยนั่งอยู่ด้วย เมื่อตกลงราคากันได้ก็นัดส่งมอบเฮโรอีนโดยมีเงื่อนไขว่า ห.ได้รับเฮโรอีนก่อนแล้วจึงจะนำเงินไปชำระที่บ้านจำเลย ถึงวันนัดจำเลยมาพบ ห.ตามนัด จำเลยบอกสถานที่ที่เก็บเฮโรอีนและให้คนที่มากับจำเลยนำทาง ห.ไปรับเฮโรอีนจาก ส.ซึ่งรออยู่ เมื่อได้เฮโรอีนแล้ว ห.กับ ส.เดินทางไปบ้านจำเลยเพื่อชำระเงิน แสดงว่าจำเลยเป็นผู้ดำเนินการขายเฮโรอีนร่วมกับ ส.มาตั้งแต่ต้นจนมีการส่งมอบให้ ห. จึงเป็นการกระทำในฐานะเป็นตัวการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2736/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, อายุความ, การรับหนังสือแจ้ง, คดีควบคุมอาคาร: การพิจารณาหลักฐานและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
คำสั่งของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมอบอำนาจให้หัวหน้าเขตปฏิบัติราชการแทนตาม พระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 ไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ประกอบกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ฟ้องคดีเองโดยมิได้มอบอำนาจให้ผู้ใดฟ้องแทน จึงไม่จำต้องมีใบมอบอำนาจ และเมื่อไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี จึงไม่จำต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นการฝ่าฝืนต่อ พระราชบัญญัติ ควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 และข้อบัญญัติ กรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 จึงไม่ใช่ฟ้องเรื่องละเมิด แม้โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อเกิน 1 ปี คดีก็ยังไม่ขาดอายุความ เมื่อมีการส่งหนังสือคำสั่งของผู้อำนวยการเขตพร้อมใบตอบรับไปยังภูมิลำเนาของจำเลยและมีลายมือชื่อผู้รับ แม้ลายมือชื่อดังกล่าวจะไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลยก็ต้องฟังว่ามีผู้รับแทนไว้แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2703/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทของผู้ขับขบวนรถไฟ การไม่ปฏิบัติตามระเบียบความปลอดภัย ส่งผลให้เกิดการชนและเสียชีวิต
ตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ.2524 ข้อ 260ซึ่งผู้ขับขบวนรถไฟจะต้องปฏิบัติตามกำหนดไว้ว่า ในกรณีที่พนักงานขับรถไม่เห็นสัญญาณอนุญาต ให้พนักงานขับรถหยุดขบวนรถใกล้ถึงถนนผ่านเสมอระดับทาง และดูให้แน่ชัดว่าไม่มีสิ่งใดกีดขวางทางแล้ว ก็ให้นำขบวนรถผ่านไปได้ด้วยความระมัดระวังการที่จำเลยที่ 1 มิได้หยุดรถก่อนถึงถนนคีรีรัฐยา ย่อมเป็นการงดเว้นการปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ.2524 ข้อ 260 ดังกล่าวที่กำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยในการเดินรถไฟผ่านถนนที่ตัดกับรางรถไฟโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งผู้ขับขบวนรถไฟผ่านถนนเสมอระดับทางจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์จำเลยที่ 1 อาจใช้ความระมัดระวังโดยหยุดขบวนรถเสียก่อนจะถึงถนนคีรีรัฐยาแล้วนำขบวนรถผ่านถนนดังกล่าวไปด้วยความระมัดระวัง แต่จำเลยที่ 1 ก็หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ขับขบวนรถไฟโดยประมาท และการที่จำเลยที่ 1 ขับขบวนรถไฟผ่านถนนคีรีรัฐยาแล้วเกิดชนกับรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 2ขับมาเป็นเหตุให้ผู้ที่นั่งมาในกระบะหลังของรถยนต์ถึงแก่ความตาย 2 คน ความตายของบุคคลทั้งสองจึงเป็นผลโดยตรงจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ด้วยเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2703/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทของผู้ขับขบวนรถไฟและผู้ขับขี่รถยนต์กระบะ ส่งผลให้เกิดการเสียชีวิต
ตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ. 2524 ข้อ 260ซึ่งผู้ขับขบวนรถไฟจะต้องปฏิบัติตามกำหนดไว้ว่า ในกรณีที่พนักงานขับรถไม่เห็นสัญญาณอนุญาต ให้พนักงานขับรถหยุดขบวนรถใกล้ถึงถนนผ่านเสมอระดับทาง และดูให้แน่ชัดว่าไม่มีสิ่งใดกีดขวางทางแล้ว ก็ให้นำขบวนรถผ่านไปได้ด้วยความระมัดระวัง การที่จำเลยที่ 1มิได้หยุดรถก่อนถึงถนนคีรีรัฐยา ย่อมเป็นการงดเว้นการปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ. 2525 ข้อ 260 ดังกล่าวที่กำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยในการเดินรถไฟผ่านถนนที่ตัดกับรางรถไฟโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งผู้ขับขบวนรถไฟผ่านถนนเสมอระดับทางจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จำเลยที่ 1 อาจใช้ความระมัดระวังโดยหยุดขบวนรถเสียก่อนจะถึงถนนคีรีรัฐยา แล้วนำขบวนรถผ่านถนนดังกล่าวไปด้วยความระมัดระวัง แต่จำเลยที่ 1ก็หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ขับขบวนรถไฟโดยประมาทและการที่จำเลยที่ 1 ขับขบวนรถไฟผ่านถนนคีรีรัฐยาแล้วเกิดชนกับรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 2 ขับมาเป็นเหตุให้ผู้ที่นั่งมาในกระบะหลังของรถยนต์ถึงแก่ความตาย 2 คน ความตายของบุคคลทั้งสองจึงเป็นผลโดยตรงจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ด้วยเช่นกัน