พบผลลัพธ์ทั้งหมด 924 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2703/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทของผู้ขับขบวนรถไฟและผู้ขับขี่รถยนต์กระบะ ส่งผลให้เกิดการเสียชีวิต
ตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ. 2524 ข้อ 260ซึ่งผู้ขับขบวนรถไฟจะต้องปฏิบัติตามกำหนดไว้ว่า ในกรณีที่พนักงานขับรถไม่เห็นสัญญาณอนุญาต ให้พนักงานขับรถหยุดขบวนรถใกล้ถึงถนนผ่านเสมอระดับทาง และดูให้แน่ชัดว่าไม่มีสิ่งใดกีดขวางทางแล้ว ก็ให้นำขบวนรถผ่านไปได้ด้วยความระมัดระวัง การที่จำเลยที่ 1มิได้หยุดรถก่อนถึงถนนคีรีรัฐยา ย่อมเป็นการงดเว้นการปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ. 2525 ข้อ 260 ดังกล่าวที่กำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยในการเดินรถไฟผ่านถนนที่ตัดกับรางรถไฟโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งผู้ขับขบวนรถไฟผ่านถนนเสมอระดับทางจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จำเลยที่ 1 อาจใช้ความระมัดระวังโดยหยุดขบวนรถเสียก่อนจะถึงถนนคีรีรัฐยา แล้วนำขบวนรถผ่านถนนดังกล่าวไปด้วยความระมัดระวัง แต่จำเลยที่ 1ก็หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ขับขบวนรถไฟโดยประมาทและการที่จำเลยที่ 1 ขับขบวนรถไฟผ่านถนนคีรีรัฐยาแล้วเกิดชนกับรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 2 ขับมาเป็นเหตุให้ผู้ที่นั่งมาในกระบะหลังของรถยนต์ถึงแก่ความตาย 2 คน ความตายของบุคคลทั้งสองจึงเป็นผลโดยตรงจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ด้วยเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตให้สืบพยานเพิ่มเติมในคดีภาษีอากร หากไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาท ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
กรณีที่สินค้าที่นำเข้าถูกเพลิงไหม้ เป็นการถูกทำลายโดยอุบัติเหตุอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ขณะอยู่บนเรือ เป็นดุลพินิจของอธิบดีกรมศุลกากรที่จะสั่งยกเว้นภาษีได้แต่เมื่อกรมศุลกากรเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยผู้ซึ่งมีสิทธิที่จะร้องขอให้ยกเว้นภาษีเสียเองแล้ว ย่อมถือได้โดยปริยายว่าอธิบดีกรมศุลกากรได้ใช้ดุลพินิจไม่ยกเว้นค่าภาษีให้แก่จำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 95 การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้นำของเข้าควรได้รับยกเว้นภาษีที่จะต้องเสีย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)246 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 29
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเกี่ยวเนื่องกัน บุกรุก-ทำให้เสียทรัพย์: โจทก์มีอำนาจฟ้องได้ ศาลลงโทษได้
เมื่อข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่า ข้อหาความผิดฐานบุกรุกกับข้อหาความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์เป็นความผิดที่เกี่ยวเนื่องกัน และเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน การที่ได้ร้องทุกข์ในข้อหาความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์แล้วก็เท่ากับได้ร้องทุกข์ในข้อหาความผิดฐานบุกรุกด้วย เมื่อมีการสอบสวนในความผิดทั้งสองข้อหานี้แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องทั้งสองข้อหา และศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดฐานบุกรุกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์เป็นกรรมเดียวกัน โจทก์มีอำนาจฟ้องได้หากมีการสอบสวนทั้งสองข้อหา
เมื่อข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่า ข้อหาความผิดฐานบุกรุกกับข้อหาความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์เป็นความผิดที่เกี่ยวเนื่องกันและเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน การที่ได้ร้องทุกข์ในข้อหาความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์แล้วก็เท่ากับได้ร้องทุกข์ในข้อหาความผิดฐานบุกรุกด้วย เมื่อมีการสอบสวนในความผิดทั้งสองข้อหานี้แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องทั้งสองข้อหา และศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดฐานบุกรุกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์เป็นกรรมเดียวกัน การร้องทุกข์ข้อหาหนึ่งถือเป็นการร้องทุกข์ทั้งสองข้อหา
จำเลยกับพวกได้นำถังน้ำยาสำหรับฉีดฆ่าหญ้าเข้าไปฉีดต้นยางพาราและนำรถไถเข้าไปไถที่ดินของผู้เสียหาย แล้วปลูกต้นยางพาราและถั่วฝักยาวลงในที่ดินดังกล่าว แม้ผู้เสียหายจะมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.9 ให้ ส. ไปร้องทุกข์เฉพาะความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์เพียงข้อหาเดียว ไม่ได้มอบอำนาจให้ไปร้องทุกข์ในความผิดฐานบุกรุกด้วยก็ตาม แต่ความผิดทั้งสองฐานเป็นความผิดเกี่ยวเนื่องกันและเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน การร้องทุกข์ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์แล้วเท่ากับร้องทุกข์ในความผิดฐานบุกรุกด้วย เมื่อมีการสอบสวนความผิดทั้งสองข้อหาแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้องความผิดทั้งสองข้อหาและศาลมีอำนาจลงโทษความผิดฐานบุกรุกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการฟ้องเรียกมรดกและการขาดสิทธิในการฟ้องของทายาท
โจทก์ทั้งสี่กับ ช.เป็นบุตรของท. ส่วนจำเลยเป็นภริยาของ ช.มีบุตรด้วยกัน3คนช. ได้รับที่พิพาทมาด้วยการยกให้ต่อมาปี 2520 ช. จดทะเบียนให้จำเลยและบุตรอีก 2 คน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาท ช. ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2521 หลังจากนั้นจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกแต่ผู้เดียวโดย ท. ไม่ได้เกี่ยวข้อง ท. ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2531 ต่อมาศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยให้เป็นผู้จัดการมรดก เมื่อปรากฏว่านับแต่วันที่ ช. ถึงแก่กรรมถึงวันที่ ท. ถึงแก่กรรมเป็นเวลา 10 ปีเศษ แม้จะไม่ปรากฏว่าท.ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของช.หรือไม่แต่การที่ท.มิได้ฟ้องเรียกมรดกภายในกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ ช.ถึงแก่กรรม ก็ย่อมขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคท้าย โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิของ ท.เมื่อสิทธิของ ท. ในการฟ้องเรียกมรดกขาดอายุความแล้ว คดีโจทก์ทั้งสี่ย่อมขาดอายุความด้วย และเมื่อโจทก์ทั้งสี่ไม่มีสิทธิในที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของ ท. จึงนำบทบัญญัติในมาตรา 1733 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีมรดก: สิทธิทายาทขาดอายุความเมื่อไม่ฟ้องภายใน 10 ปีนับจากเจ้ามรดกเสียชีวิต
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของนาย ท. เจ้ามรดกและมีทายาทคือนาง ท. ซึ่งเป็นมารดา กับจำเลยซึ่งเป็นภริยาของเจ้ามรดก ต่อมานาย ท. ถึงแก่ความตาย ที่ดินอันเป็นมรดกในส่วนที่ตกได้แก่นาง ท. จึงตกแก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นบุตรของนาง ท.แต่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายท. ได้โอนทรัพย์มรดกเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่ ดังนี้ เมื่อนายท.ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่29มกราคม2521และนางท.ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2531 แม้จะไม่ปรากฏว่านาง ท.ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของนายท. หรือไม่อันจะฟังว่าขาดอายุความหนึ่งปีตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคแรกก็ตาม แต่การที่ นาง ท. มิได้ฟ้องเรียกมรดกภายในกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่นาย ท. ถึงแก่ความตายก็ย่อมขาดอายุความตามมาตรา 1754 วรรคท้าย เมื่อโจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิของนาง ท. คดีของโจทก์ทั้งสี่ก็ย่อมขาดอายุความด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการฟ้องเรียกมรดกและการขาดสิทธิในทรัพย์มรดก
โจทก์ทั้งสี่กับ ช.เป็นบุตรของ ท. ส่วนจำเลยเป็นภริยาของ ช.มีบุตรด้วยกัน 3 คน ช.ได้รับที่พิพาทมาด้วยการยกให้ ต่อมาปี 2520 ช.จดทะเบียนให้จำเลยและบุตรอีก 2 คน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาท ช.ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2521หลังจากนั้นจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกแต่ผู้เดียวโดย ท.ไม่ได้เกี่ยวข้องท.ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2531 ต่อมาศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยให้เป็นผู้จัดการมรดก เมื่อปรากฏว่านับแต่วันที่ ช.ถึงแก่กรรมถึงวันที่ ท.ถึงแก่กรรมเป็นเวลา 10 ปีเศษแม้จะไม่ปรากฏว่า ท.ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของ ช.หรือไม่ แต่การที่ ท.มิได้ฟ้องเรียกมรดกภายในกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ ช.ถึงแก่กรรม ก็ย่อมขาดอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคท้าย โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิของ ท. เมื่อสิทธิของ ท.ในการฟ้องเรียกมรดกขาดอายุความแล้ว คดีโจทก์ทั้งสี่ย่อมขาดอายุความด้วย และเมื่อโจทก์ทั้งสี่ไม่มีสิทธิในที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของ ท.จึงนำบทบัญญัติในมาตรา 1733 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2371/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งนอกเหนือประเด็นฟ้องเดิม ศาลไม่รับฟ้องแย้งเพราะเป็นคนละเรื่องกัน
โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ค่าน้ำมันเครื่องที่จำเลยซื้อไปและค้างชำระบางส่วน แต่ฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนที่ว่า โจทก์ได้ตกลงกับจำเลยว่าโจทก์จะออกน้ำมันเครื่องชนิดใหม่ให้จำเลยเป็นผู้เปิดตลาดและทำการโฆษณาขายให้แก่ลูกค้าของจำเลย แต่โจทก์ไม่ผลิตสินค้าดังกล่าวทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมชอบที่จำเลยจะฟ้องเป็นคดีต่างหากตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2371/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม ชอบฟ้องเป็นคดีต่างหาก
โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ค่าน้ำมันเครื่องที่จำเลยซื้อไปและค้างชำระบางส่วน แต่ฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนที่ว่า โจทก์ได้ตกลงกับจำเลยว่าโจทก์จะออกน้ำมันเครื่องชนิดใหม่ให้จำเลยเป็นผู้เปิดตลาดและทำการโฆษณาขายให้แก่ลูกค้าของจำเลย แต่โจทก์ไม่ผลิตสินค้าดังกล่าวทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ชอบที่จำเลยจะฟ้องเป็นคดีต่างหากตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม