พบผลลัพธ์ทั้งหมด 924 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1510/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเชิดตัวแทนทางกฎหมาย: นิติบุคคลเป็นตัวแทนเชิดของบุคคลธรรมดาได้ และบุคคลธรรมดาต้องรับผิดชอบในการกระทำของตัวแทน
การที่บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนบุคคลนั้นต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 821 และบุคคลที่เป็นตัวแทนเชิดได้หาจำต้องเฉพาะแต่บุคคลธรรมดาเท่านั้นไม่ เพราะแม้แต่การตั้งตัวแทนทั่วไป นิติบุคคลโดยผู้มีอำนาจกระทำการแทนย่อมเป็นตัวแทนได้ เพราะนิติบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาเว้นแต่สิทธิและหน้าที่ซึ่งโดยสภาพจะพึงมีพึงเป็นได้เฉพาะแก่บุคคลธรรมดาเท่านั้น และความประสงค์ของนิติบุคคลย่อมแสดงออกโดยผู้แทนของนิติบุคคล เมื่อ ช. เป็นผู้แทนของนิติบุคคลทั้งหลายที่ใช้ติดต่อค้าขายกับจำเลยแสดงว่านิติบุคคลเหล่านั้นเป็นเพียงตัวแทนเชิดของ ช.ซึ่งช. เป็นตัวการและเป็นเจ้าของลูกเดือยพิพาทเมื่อช.ยกกรรมสิทธิ์ในลูกเดือยพิพาทให้แก่จำเลย เพื่อนำออกจำหน่ายชำระค่าเสียหายในกรณีที่ ช.ในนามของบริษัท ม. ผิดสัญญาบอกเลิกการซื้อข้าวสารกับจำเลยจำเลยจึงมีสิทธิในลูกเดือยพิพาท โจทก์ซึ่งเป็นเพียงตัวแทนเชิดของช.จึงไม่สามารถอ้างสิทธิตามสัญญาซื้อขายลูกเดือย ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1466/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมร่วม เงื่อนไขการโอนมรดก และการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก
การที่ผู้ร้องร่วมกับผู้ตายทำพินัยกรรมในฉบับเดียวกันแสดงเจตนาที่จะยกทรัพย์สินให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง หากว่าฝ่ายใดถึงแก่ความตายไปก่อน เพียงแต่กำหนดเงื่อนไขให้ผู้รับพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์สินที่ได้ตามพินัยกรรมให้แก่บุคคลตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม โดยให้ผู้รับพินัยกรรมกำหนดให้มากน้อยเท่าใดตามแต่ใจ กรณีจึงถือได้ว่าเงื่อนไขดังกล่าวนั้นเป็นอันไม่มีเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1707 มิใช่กรณีตามมาตรา 1706(3) ดังนี้ ข้อกำหนดพินัยกรรมในส่วนที่ผู้ตายยกทรัพย์สินให้แก่ผู้ร้องยังคงสมบูรณ์ใช้บังคับได้หาเป็นโมฆะไม่ พินัยกรรมที่ผู้ร้องกับผู้ตายทำเป็นหนังสือลงวันเดือนปีในขณะที่ทำขึ้นและผู้ทำพินัยกรรมได้ลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน ซึ่งพยานสองคนได้ลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมไว้ขณะนั้น จึงเข้าแบบพินัยกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656 วรรคหนึ่ง ดังนั้นแม้ผู้ร้องกับผู้ตายจะทำพินัยกรรมในเอกสารฉบับเดียวกันก็ไม่ผิดแบบแต่อย่างใด และก็มิใช่การพนันขันต่อเพราะเป็นการแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์มรดกของตนเองหรือในการต่าง ๆอันจะให้เกิดเป็นผลได้ตามกฎหมายในเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายก่อนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1646 เมื่อผู้ร้องลงชื่อในฐานะผู้ทำพินัยกรรม มิได้ลงชื่อในฐานะพยานทั้งมิได้มีข้อความระบุว่าเป็นพยานต่อท้ายลายมือชื่อของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1671 วรรคหนึ่ง กรณีจึงไม่อาจถือว่าผู้ร้องเป็นพยานในพินัยกรรม ดังนั้น พินัยกรรมหาได้ตกเป็นโมฆะตาม มาตรา 1653 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย มาตรา 1705 ไม่ แม้ผู้ร้องจะมีอายุมากแล้ว และเคยเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ปรากฏว่าผู้ร้องมีสติสัมปชัญญะดี มีความรู้สึกผิดชอบ มีความสามารถที่จะดำเนินการทำนิติกรรมใด ๆ ได้ และผู้ร้องก็ไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 ทั้งผู้ร้องก็เป็นทายาทโดยพินัยกรรมตาม มาตรา 1603 วรรคสาม ได้รับมรดกทั้งหมดของผู้ตาย เท่ากับผู้ตายตัดมิให้ผู้คัดค้านได้รับมรดกของตนแม้ผู้คัดค้านจะมีสิทธิในสินสมรสร่วมกับผู้ตายและเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายก็ตาม แต่ผู้คัดค้านไปอยู่กินฉันสามีภรรยากับชายอื่นขณะที่ยังไม่ขาดจากการสมรสกับผู้ตาย ตามพฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่สมควรตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1466/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมร่วม: เจตนา ยกทรัพย์สินให้กัน และการเป็นพยานในพินัยกรรม
พินัยกรรมที่ผู้ร้องกับผู้ตายทำร่วมกันในฉบับเดียวซึ่งสาระสำคัญของข้อกำหนดพินัยกรรมข้อ (ก) เป็นกรณีที่ผู้ร้องกับผู้ตายแสดงเจตนาไว้ว่า หากผู้ร้องหรือผู้ตายคนใดคนหนึ่งถึงแก่ความตายไปก่อน ให้ทรัพย์สินของผู้ที่ถึงแก่ความตายไปก่อนตกเป็นสินส่วนตัวของผู้ทำพินัยกรรมที่ยังมีชีวิตอยู่แต่เพียงผู้เดียวและให้เป็นผู้มีสิทธิและหน้าที่รวบรวมเก็บรักษาจัดจำหน่ายหรือแบ่งปัน และยกทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่บุคคลใดก็ได้ตามแต่เจ้าของพินัยกรรมผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ จะเห็นสมควรภายใต้ข้อกำหนดซึ่งระบุไว้ในข้อ (ข) แสดงว่าผู้ร้องและผู้ตายมีเจตนาที่จะยกทรัพย์สินให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งหากว่าฝ่ายใดถึงแก่ความตายไปก่อน เพียงแต่กำหนดเงื่อนไขให้ผู้รับพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์สินที่ได้ตามพินัยกรรมให้แก่บุคคลตามที่ระบุไว้ในข้อ (ข) โดยให้ผู้รับพินัยกรรมกำหนดให้มากน้อยเท่าใดตามแต่ใจ กรณีถือได้ว่าเงื่อนไขนั้นเป็นอันไม่มีเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1707 ข้อกำหนดพินัยกรรมในส่วนที่ผู้ตายยกทรัพย์สินให้แก่ผู้ร้องจึงยังคงสมบูรณ์ใช้บังคับได้ มิใช่กรณีที่กำหนดให้ผู้ทำพินัยกรรมที่มีชีวิตอยู่กำหนดทรัพย์สินให้แก่ทายาทมากน้อยตามแต่ใจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1706(3) แต่อย่างใด การที่ผู้ร้องกับผู้ตายทำพินัยกรรมในฉบับเดียวกัน ต่างยกทรัพย์สินให้แก่กันและกัน เมื่อพินัยกรรมดังกล่าวได้ทำเป็นหนังสือลงวันเดือนปีในขณะที่ทำขึ้น และผู้ทำพินัยกรรมลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน ซึ่งพยานสองคนได้ลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมไว้ในขณะนั้น จึงเข้าแบบพินัยกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656 แม้ผู้ร้องกับผู้ตายจะทำพินัยกรรมในเอกสารฉบับเดียวกันก็ไม่ผิดแบบแต่อย่างใดและมิใช่การพนันขันต่อเพราะเป็นการแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์มรดกของตนเองหรือในการต่าง ๆ อันจะให้เกิดเป็นผลบังคับได้ตามกฎหมายในเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายก่อนตามมาตรา 1646 การที่บุคคลจะเป็นผู้เขียนหรือเป็นพยานในพินัยกรรมนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1671 บัญญัติว่า บุคคลนั้นต้องลงลายมือชื่อของตนทั้งระบุว่าเป็นผู้เขียนหรือเป็นพยานไว้ต่อท้ายลายมือชื่อของตนด้วย ดังนั้น เมื่อผู้ร้องลงลายมือชื่อในฐานะผู้ทำพินัยกรรมไม่มีข้อความว่าเป็นพยาน จึงจะถือว่าเป็นพยานในพินัยกรรมด้วยไม่ได้ พินัยกรรมจึงหาเป็นโมฆะด้วยเหตุที่ผู้ร้องจะเป็นพยานในพินัยกรรมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1466/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมร่วม เงื่อนไขจำหน่ายทรัพย์ และการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก
การที่ผู้ร้องร่วมกับผู้ตายทำพินัยกรรมในฉบับเดียวกันแสดงเจตนาที่จะยกทรัพย์สินให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง หากว่าฝ่ายใดถึงแก่ความตายไปก่อน เพียงแต่กำหนดเงื่อนไขให้ผู้รับพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์สินที่ได้ตามพินัยกรรมให้แก่บุคคลตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม โดยให้ผู้รับพินัยกรรมกำหนดให้มากน้อยเท่าใดตามแต่ใจ กรณีจึงถือได้ว่าเงื่อนไขดังกล่าวนั้นเป็นอันไม่มีเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1707 มิใช่กรณีตามมาตรา1706 (3) ดังนี้ ข้อกำหนดพินัยกรรมในส่วนที่ผู้ตายยกทรัพย์สินให้แก่ผู้ร้องยังคงสมบูรณ์ใช้บังคับได้หาเป็นโมฆะไม่
พินัยกรรมที่ผู้ร้องกับผู้ตายทำเป็นหนังสือลงวันเดือนปีในขณะที่ทำขึ้นและผู้ทำพินัยกรรมได้ลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน ซึ่งพยานสองคนได้ลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมไว้ขณะนั้น จึงเข้าแบบพินัยกรรมตาม ป.พ.พ.มาตรา 1656 วรรคหนึ่ง ดังนั้น แม้ผู้ร้องกับผู้ตายจะทำพินัยกรรมในเอกสารฉบับเดียวกันก็ไม่ผิดแบบแต่อย่างใด และก็มิไช่การพนันขันต่อเพราะเป็นการแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์มรดกของตนเองหรือในการต่าง ๆ อันจะให้เกิดเป็นผลได้ตามกฎหมายในเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1646
เมื่อผู้ร้องลงชื่อในฐานะผู้ทำพินัยกรรม มิได้ลงชื่อในฐานะพยานทั้งมิได้มีข้อความระบุว่าเป็นพยานต่อท้ายลายมือชื่อของตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1671วรรคหนึ่ง กรณีจึงไม่อาจถือว่าผู้ร้องเป็นพยานในพินัยกรรม ดังนั้น พินัยกรรมหาได้ตกเป็นโมฆะตาม มาตรา 1653 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย มาตรา 1 05 ไม่
แม้ผู้ร้องจะมีอายุมากแล้ว และเคยเข้ารับการรักษาตัวที่โรง-พยาบาล แต่ปรากฏว่าผู้ร้องมีสติสัมปชัญญะดี มีความรู้สึกผิดชอบ มีความสามารถที่จะดำเนินการทำนิติกรรมใด ๆ ได้ และผู้ร้องก็ไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 171 ทั้งผู้ร้องก็เป็นทายาทโดยพินัยกรรมตาม มาตรา 1603 วรรคสาม ได้รับมรดกทั้งหมดของผู้ตาย เท่ากับผู้ตายตัดมิให้ผู้คัดค้านได้รับมรดกของตน แม้ผู้คัดค้านจะมีสิทธิในสินสมรสร่วมกับผู้ตายและเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายก็ตาม แต่ผู้คัดค้านไปอยู่กินฉันสามีภรรยากับชายอื่นขณะที่ยังไม่ขาดจากการสมรสกับผู้ตาย ตามพฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่สมควรตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
พินัยกรรมที่ผู้ร้องกับผู้ตายทำเป็นหนังสือลงวันเดือนปีในขณะที่ทำขึ้นและผู้ทำพินัยกรรมได้ลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน ซึ่งพยานสองคนได้ลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมไว้ขณะนั้น จึงเข้าแบบพินัยกรรมตาม ป.พ.พ.มาตรา 1656 วรรคหนึ่ง ดังนั้น แม้ผู้ร้องกับผู้ตายจะทำพินัยกรรมในเอกสารฉบับเดียวกันก็ไม่ผิดแบบแต่อย่างใด และก็มิไช่การพนันขันต่อเพราะเป็นการแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์มรดกของตนเองหรือในการต่าง ๆ อันจะให้เกิดเป็นผลได้ตามกฎหมายในเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1646
เมื่อผู้ร้องลงชื่อในฐานะผู้ทำพินัยกรรม มิได้ลงชื่อในฐานะพยานทั้งมิได้มีข้อความระบุว่าเป็นพยานต่อท้ายลายมือชื่อของตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1671วรรคหนึ่ง กรณีจึงไม่อาจถือว่าผู้ร้องเป็นพยานในพินัยกรรม ดังนั้น พินัยกรรมหาได้ตกเป็นโมฆะตาม มาตรา 1653 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย มาตรา 1 05 ไม่
แม้ผู้ร้องจะมีอายุมากแล้ว และเคยเข้ารับการรักษาตัวที่โรง-พยาบาล แต่ปรากฏว่าผู้ร้องมีสติสัมปชัญญะดี มีความรู้สึกผิดชอบ มีความสามารถที่จะดำเนินการทำนิติกรรมใด ๆ ได้ และผู้ร้องก็ไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 171 ทั้งผู้ร้องก็เป็นทายาทโดยพินัยกรรมตาม มาตรา 1603 วรรคสาม ได้รับมรดกทั้งหมดของผู้ตาย เท่ากับผู้ตายตัดมิให้ผู้คัดค้านได้รับมรดกของตน แม้ผู้คัดค้านจะมีสิทธิในสินสมรสร่วมกับผู้ตายและเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายก็ตาม แต่ผู้คัดค้านไปอยู่กินฉันสามีภรรยากับชายอื่นขณะที่ยังไม่ขาดจากการสมรสกับผู้ตาย ตามพฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่สมควรตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1447/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ครอบคลุมประเด็นค่าเสียหาย ทำให้ฎีกาจำกัดเฉพาะข้อเท็จจริงเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน และต้องห้ามฎีกาตามกฎหมาย
แม้โจทก์จะเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาตามทุนทรัพย์ 280,000 บาทซึ่งเป็นการรวมเอาราคาที่ดินพิพาทจำนวน 80,000 บาท กับค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยจำนวน 200,000 บาท เข้าด้วยกันก็ตามแต่ฎีกาของโจทก์มิได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องค่าเสียหายว่าโจทก์ยังประสงค์จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยตามฟ้อง จึงเท่ากับว่าโจทก์ไม่ได้ฎีกาในประเด็นนี้ ฎีกาของโจทก์มีเพียงประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ เมื่อราคาที่ดินพิพาทไม่เกิน200,000 บาท คดีโจทก์ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1447/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาเมื่อทุนทรัพย์ไม่เกินเกณฑ์ และการไม่ฎีกาประเด็นค่าเสียหาย
แม้โจทก์จะเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาตามทุนทรัพย์280,000 บาท ซึ่งเป็นการรวมเอาราคาที่ดินพิพาทจำนวน 80,000 บาทกับค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยจำนวน 200,000 บาท เข้าด้วยกันก็ตามแต่ฎีกาของโจทก์มิได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องค่าเสียหายว่าโจทก์ยังประสงค์จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยตามฟ้อง จึงเท่ากับว่าโจทก์ไม่ได้ฎีกาในประเด็นนี้ฎีกาของโจทก์มีเพียงประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ เมื่อราคาที่ดินพิพาทไม่เกิน 200,000 บาท คดีโจทก์ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1408/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ การแทงเพื่อป้องกันตัวจากขาโต๊ะ ศาลลดโทษตามมาตรา 69
จำเลยแทงผู้ตายเพราะผู้ตายใช้ขาโต๊ะตีจำเลยก่อน แต่ไม่ถูกและผู้ตายจะตีซ้ำ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกัน แต่การที่ผู้ตายใช้เพียงขาโต๊ะทำร้ายจำเลย จำเลยสามารถหยุดยั้งผู้ตายด้วยวิธีการอื่นได้ แต่ไม่กระทำ กลับใช้มีดแทงผู้ตายทันทีที่บริเวณหน้าอกอันเป็นอวัยวะสำคัญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเกินสมควรแก่เหตุ ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1381/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิยึดทรัพย์ในบ้านเช่าร่วมและการกระทำเพื่อรักษาสภาพทรัพย์หลังยึด
การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของสามีโจทก์กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในหนี้สินที่สามีโจทก์มีต่อจำเลยที่ 1 ไปตามช่างกุญแจมาไขประตูบ้านที่โจทก์เช่าเพื่อยึดทรัพย์ของสามีโจทก์ โดยความรู้เห็นยินยอมของเจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่ง ป.วิ.พ. มาตรา279 วรรคสอง บัญญัติให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจกระทำการตามสมควร เพื่อเปิดสถานที่หรือบ้านที่อยู่ของลูกหนี้หรือที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ปกครองอยู่ได้ดังนี้แม้สามีโจทก์จะไม่ได้เป็นผู้เช่า แต่เมื่ออยู่ในบ้านที่เช่าด้วยก็เท่ากับปกครองบ้านหลังดังกล่าวร่วมกับโจทก์ด้วย จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิยึดทรัพย์ของสามีโจทก์ในบ้านดังกล่าวได้ ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก และการที่จำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานบังคับคดีให้เป็นผู้รักษาทรัพย์ที่ถูกยึด นำลูกกุญแจลูกใหม่มาใส่ประตูบ้าน หลังจากที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ไว้แล้วทำให้โจทก์เข้าบ้านไม่ได้นั้น เมื่อปรากฎว่าโจทก์ไม่ได้อยู่บ้านถึง 7 เดือนแล้ว การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันมิให้ทรัพย์ที่ถูกยึดสูญหาย จึงไม่เป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1381/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์และการบุกรุก: สิทธิเจ้าหนี้ในการเข้ายึดทรัพย์ในบ้านเช่าของผู้เช่าและลูกหนี้ร่วม
การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของสามีโจทก์กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในหนี้สินที่สามีโจทก์ต่อจำเลยที่ 1ไปตามช่างกุญแจมาไขประตูบ้านที่โจทก์เช่าเพื่อยึดทรัพย์ของสามีโจทก์ โดยความรู้เห็นยินยอมของเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 279 วรรคสองบัญญัติให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจกระทำการตามสมควรเพื่อเปิดสถานที่หรือบ้านที่อยู่ของลูกหนี้หรือที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ปกครองอยู่ได้ ดังนี้แม้สามีโจทก์จะไม่ได้เป็นผู้เช่า แต่เมื่ออยู่ในบ้านที่เช่าด้วยก็เท่ากับปกครองบ้านหลังดังกล่าวร่วมกับโจทก์ด้วย จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิยึดทรัพย์ของสามีโจทก์ในบ้านดังกล่าวได้ ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก และการที่จำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานบังคับคดีให้เป็นผู้รักษาทรัพย์ที่ถูกยึดนำลูกกุญแจลูกใหม่มาใช่ประตูบ้าน หลังจากที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ไว้แล้วทำให้โจทก์เข้าบ้านไม่ได้นั้นเมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้อยู่บ้านถึง 7 เดือนแล้ว การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันมิให้ทรัพย์ที่ถูกยึดสูญหาย จึงไม่เป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1339/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าหนี้คัดค้านการถอนการยึดทรัพย์ในคดีล้มละลาย เมื่อมีเหตุเชื่อว่าทรัพย์สินเป็นของลูกหนี้หรือมีส่วนเป็นเจ้าของร่วม
บ.เช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทจากโจทก์ ต่อมารถยนต์คันพิพาทถูกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดเป็นทรัพย์ของลูกหนี้ในคดีล้มละลายซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง ป.เป็นบุคคลล้มละลาย โจทก์ได้ร้องขัดทรัพย์ ในการประชุมเจ้าหนี้คดีล้มละลายจำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าหนี้ผู้มีเสียงข้างมากคัดค้านการขอถอนการยึดรถยนต์คันพิพาท เมื่อปรากฏว่า ขณะที่ทำการยึดรถยนต์คันพิพาทอยู่ภายในบ้านของ ป.แม้ ม.อดีตภริยาของ ป.ซึ่งพักอาศัยอยู่ภายในบ้านดังกล่าวในขณะนั้นอ้างว่าเป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาท รถยนต์คันพิพาทมิใช่ทรัพย์ของ ป. แต่ ม.ก็มิได้แสดงหลักฐานการเป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาทต่อเจ้าพนักงานผู้ไปทำการยึด พฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวมีเหตุให้จำเลยที่ 2 เชื่อว่ารถยนต์คันพิพาทเป็นของ ป. หรือ ป.มีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอยู่กับ ม.ด้วย จำเลยที่ 2 จึงชอบที่จะใช้สิทธิคัดค้านการขอให้ถอนการยึดรถยนต์คันพิพาทได้ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปเพียงเพื่อต้องการจะกลั่นแกล้งโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ใช้สิทธิคัดค้านโดยไม่สุจริตจงใจ หรือประมาทเลินเล่อให้โจทก์เสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์