คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นาม ยิ้มแย้ม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 924 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 601/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่สมบูรณ์แก้ไขได้, สัญญาจ้างก่อสร้าง, ฝ่ายผิดสัญญา, การก่อสร้างรุกล้ำที่สาธารณะ, สิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย
โจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในคำฟ้อง คงมีแต่ทนายโจทก์ลงลายมือชื่อเป็นผู้เรียงพิมพ์เท่านั้น ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 67(5) ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งให้คืนหรือแก้ไขคำฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 วรรคสอง เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาไปโดยมิได้สั่งให้คืนหรือแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าในชั้นอุทธรณ์ โจทก์ได้ลงลายมือชื่อในคำแก้อุทธรณ์ย่อมแสดงว่าโจทก์ได้ฟ้องคดีนี้จริง ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้โจทก์ลงลายมือชื่อในคำฟ้องแล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไป ถือว่าได้มีการแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวแล้วฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ จำเลยทั้งสามรับจ้างโจทก์ปลูกสร้างอาคารพิพาทโดยจำเลยทั้งสามรับเป็นผู้ดำเนินการเขียนแบบแปลน และยื่นคำขออนุญาตปลูกสร้างต่อเทศบาลด้วย เมื่อปรากฏว่าการก่อสร้างยังไม่ได้รับอนุญาตจากทางเทศบาลเป็นเหตุให้เทศบาลระงับการก่อสร้าง จำเลยทั้งสามจึงตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรคแรก แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ทางเทศบาลได้มีคำสั่งให้รื้อถอนเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่สาธารณะ ซึ่งการก่อสร้างที่รุกล้ำดังกล่าวเป็นผลจากคำสั่งของโจทก์เอง โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิด ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนอาคารพิพาทและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 601/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่สมบูรณ์และการแก้ไข / สัญญาจ้างก่อสร้างผิดสัญญา
โจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในคำฟ้อง คงมีแต่ทนายโจทก์ลงลายมือชื่อเป็นผู้เรียงพิมพ์เท่านั้น ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา67 (5) ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งให้คืนหรือแก้ไขคำฟ้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18วรรคสอง เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาไปโดยมิได้สั่งให้คืนหรือแก้ไขข้อ-บกพร่องดังกล่าวก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าในชั้นอุทธรณ์ โจทก์ได้ลงลายมือชื่อในคำแก้อุทธรณ์ย่อมแสดงว่าโจทก์ได้ฟ้องคดีนี้จริง ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนิน-กระบวนพิจารณาให้โจทก์ลงลายมือชื่อในคำฟ้องแล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปถือว่าได้มีการแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวแล้ว ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์
จำเลยทั้งสามรับจ้างโจทก์ปลูกสร้างอาคารพิพาทโดยจำเลย-ทั้งสามรับเป็นผู้ดำเนินการเขียนแบบแปลน และยื่นคำขออนุญาตปลูกสร้างต่อเทศบาลด้วย เมื่อปรากฏว่าการก่อสร้างยังไม่ได้รับอนุญาตจากทางเทศบาลเป็นเหตุให้เทศบาลระงับการก่อสร้าง จำเลยทั้งสามจึงตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะเดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา391 วรรคแรก แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ทางเทศบาลได้มีคำสั่งให้รื้อถอนเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่สาธารณะ ซึ่งการก่อสร้างที่รุกล้ำดังกล่าวเป็นผลจากคำสั่งของโจทก์เอง โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิด ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนอาคารพิพาทและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายในร้านอาหาร: ศาลฎีกาไม่รับรองเหตุบันดาลโทสะจากพฤติกรรมผู้ตายในอดีต
แม้ผู้ตายชอบดื่มสุราแล้วก่อเหตุวิวาทเป็นประจำ เคยถูกจำคุกฐานเมาสุราทำร้ายผู้อื่นและยังก่อคดีทำร้ายผู้อื่นอีก 2 คดีแล้วมาก่อเหตุคดีนี้ก็เป็นเหตุการณ์เรื่องอื่น มิใช่เหตุในคดีนี้จึงมิใช่มูลกรณีที่จะถือได้ว่าจำเลยทั้งสามถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 จำเลยที่ 1 ประกอบอาชีพขายสุรา ลาบ และส้มตำ การที่ผู้ตายซึ่งเป็นลูกค้าดื่มสุราแล้วมึนเมาก่อเหตุกวาดสิ่งของบนโต๊ะและล้มโต๊ะ เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ร้านขายสุราและอาหารประสบอยู่เสมอ มิใช่เป็นการข่มเหงจำเลยที่ 1 อย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 524/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชี้ช่องให้ทำสัญญาและผลสืบเนื่องของสัญญาประนีประนอมยอมความต่อการเรียกค่าค่านายหน้า
การที่โจทก์ทั้งสองสามารถนำ ด.มาทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลยได้นั้น ถือได้ว่าเกิดจากการชี้ช่องของโจทก์ทั้งสองแม้ต่อมาจำเลยจะได้บอกเลิกสัญญาจะซื้อขายที่จำเลยทำไว้กับ ด.ทำให้ไม่มีสัญญาจะซื้อขายอีกต่อไปก็ตาม แต่ภายหลังจากนั้นจำเลยกับ ด. ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลเกี่ยวกับที่พิพาทกันอีกว่า จำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้ ด. หรือบุคคลที่ ด.ประสงค์จะให้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์และด. ยินยอมชำระราคาที่ดินและค่าเสียหายแก่จำเลยจำนวนเท่ากับราคาขายที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทบวกกับค่าเสียหาย จำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวโดยทำหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขายที่ดินพิพาทให้แก่ ส. ไปในราคาซึ่งตรงกับราคาที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาท ดังนี้สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงมีผลสืบเนื่องมาจากสัญญาจะซื้อขาย เมื่อสัญญาจะซื้อขายมีผลสืบเนื่องมาจากการชี้ช่องของโจทก์ทั้งสองให้จำเลยกับ ด. ได้เข้าทำสัญญากัน สัญญาประนีประนอมยอมความย่อมมีผลสืบเนื่องมาจากการชี้ช่องของโจทก์ทั้งสองด้วยโจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิได้รับบำเหน็จค่านายหน้าจากจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 524/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชี้ช่องทำสัญญาและการสืบเนื่องของสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อการเรียกค่าบำเหน็จค่านายหน้า
การที่โจทก์ทั้งสองสามารถนำ ด.มาทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลยได้นั้น ถือได้ว่าเกิดจากการชี้ช่องของโจทก์ทั้งสอง แม้ต่อมาจำเลยจะได้บอกเลิกสัญญาจะซื้อขายที่จำเลยทำไว้กับ ด. ทำให้ไม่มีสัญญาจะซื้อขายอีกต่อไปก็ตามแต่ภายหลังจากนั้นจำเลยกับ ด.ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลเกี่ยวกับที่พิพาทกันอีกว่า จำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้ ด.หรือบุคคลที่ ด.ประสงค์จะให้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ และ ด.ยินยอมชำระราคาที่ดินและค่าเสียหายแก่จำเลยจำนวนเท่ากับราคาขายที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทบวกกับค่าเสียหาย จำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวโดยทำหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน-เจ้าหน้าที่ขายที่ดินพิพาทให้แก่ ส.ไปในราคาซึ่งตรงกับราคาที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาท ดังนี้ สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงมีผลสืบเนื่องมาจากสัญญาจะซื้อขาย เมื่อสัญญาจะซื้อขายมีผลสืบเนื่องมาจากการชี้ช่องของโจทก์ทั้งสองให้จำเลยกับ ด.ได้เข้าทำสัญญากัน สัญญาประนีประนอมยอมความย่อมมีผลสืบเนื่องมาจากการชี้ช่องของโจทก์ทั้งสองด้วย โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิได้รับบำเหน็จค่านายหน้าจากจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 444/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดหลายกรรมต่างกัน: ลักทรัพย์, ทำร้ายร่างกาย, กระทำอนาจาร แม้มีเหตุการณ์ต่อเนื่อง แต่ถือเป็นกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยเข้าไปลักทรัพย์แล้วเข้าไปหลบอยู่ในห้องน้ำก่อนที่จะกระทำอนาจารผู้เสียหาย เมื่อจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายขัดขืนจำเลยจึงทำร้ายผู้เสียหายดังนี้ ที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายเป็นการกระทำที่ไม่ต่อเนื่องกับการลักทรัพย์ แต่เป็นการกระทำที่ขาดตอนแยกต่างหากจากกันแล้ว เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 396/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตั้งผู้จัดการมรดก: พิจารณาประโยชน์กองมรดก, เจตนาเจ้ามรดก, และความเหมาะสมของผู้จัดการ
ในคดีร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ประเด็นแห่งคดีมีว่าสมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่เท่านั้น เมื่อทรัพย์มรดกของผู้ตายยังแบ่งปันไม่เสร็จสิ้น ยังมีทรัพย์มรดกที่จะต้องจัดการต่อไป จึงเป็นเหตุที่จะต้องตั้งผู้จัดการมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 วรรคท้าย การตั้งผู้จัดการมรดกนั้นให้ศาลตั้งเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกตามพฤติการณ์และโดยคำนึงถึงเจตนาของเจ้ามรดกแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร แม้ศาลอุทธรณ์จะยังมิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัย แต่ผู้ร้องและผู้คัดค้านได้สืบพยานจนเสร็จสำนวนแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวได้ พฤติการณ์ของผู้ร้องและผู้คัดค้านมีข้อโต้แย้งกันเกี่ยวกับการแบ่งปันทรัพย์มรดก การจะให้จัดการมรดกร่วมกันไม่อาจทำได้ต้องตั้งผู้ที่มีความเหมาะสมมากกว่าเป็นผู้จัดการมรดก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 360/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายเช็ค: การออกเช็คแลกเงินสดไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็คใหม่ แม้จะผิดตามกฎหมายเดิม
การออกเช็คแลกเงินสดนั้นไม่ใช่การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง และบังคับได้ตามกฎหมาย ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การที่จำเลยออกเช็คเพื่อแลกเงินสดจากโจทก์ แม้จะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497แต่ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 จึงเป็นกรณีต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง ที่ว่าบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง การกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไปให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด และถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้วก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลง จึงต้องถือว่าจำเลยไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำผิดและต้องปล่อยจำเลยพ้นจากการถูกลงโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาซื้อขายและสิทธิในการเรียกคืนเงินชำระ แม้ไม่ได้ฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญา
การที่โจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาคือโอนที่ดินพร้อมอาคารพิพาทแก่โจทก์ แต่ขอให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยรับชำระไปจากโจทก์ ซึ่งในเรื่องนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องได้ภายในกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตยื่นคำให้การและการอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ชอบ การอุทธรณ์ที่ไม่ชัดเจนและไม่เป็นไปตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2531 ในวันนัดจำเลยที่ 1 ไม่มาศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องลงวันที่ 25กุมภาพันธ์ 2531 อ้างว่าเสมียนทนายจดวันนัดผิดจึงมิได้มาศาลขอให้ทำการไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยที่ 1ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ดังนี้ เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้ชัดแจ้งแต่อย่างไรเลยเพียงแต่กล่าวอ้างถึงอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2531 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามมิให้อุทธรณ์อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคแรก การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว
of 93