คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นาม ยิ้มแย้ม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 924 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4256/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ค้ำประกันเช่าซื้อรถยนต์ผิดนัดชำระหนี้ การครอบครองรถยนต์ไม่ถึงขั้นยักยอกทรัพย์
จำเลยเอารถยนต์ของกลางของผู้เสียหายไปไว้ในครอบครองของจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันในการเช่าซื้อซึ่งภริยาจำเลยเช่าซื้อไปจากผู้เสียหาย และรถยนต์ของกลางยังคงอยู่ในครอบครองของจำเลยตลอดมา จำเลยมีหน้าที่จะต้องชำระเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและมีหน้าที่จะต้องส่งคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้เสียหาย การที่จำเลยเอารถยนต์ของกลางไปขับรับจ้างขนส่งผู้โดยสารในต่างจังหวัดและยังไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ผู้เสียหายชอบที่จะบังคับเอาทางแพ่งได้ การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นการเบียดบังทรัพย์อันจะเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4082/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร: การกระทำของผู้เกี่ยวข้อง, อายุความ, และการเปรียบเทียบปรับ
จำเลยเป็นผู้จัดการของบริษัท ท. จำกัด ได้สั่งเครื่องจักรหลายประเภทเข้ามาในราชอาณาจักร โดยสำแดงในใบขนสินค้า ขาเข้าเพื่อชำระอากรต่ำกว่าราคาที่แท้จริง อันเป็นการกระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติศุลกากร ทั้งฐานสำแดงเท็จตามมาตรา 99 และฐานหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากรตามมาตรา 27 ซึ่งเป็นความผิดต่างกรรมกัน แม้โจทก์จะมิได้ฟ้องจำเลยในความผิดตามมาตรา 99 เพราะขาดอายุความแล้ว ก็ย่อมฟ้องจำเลยในความผิดตามมาตรา 27 ได้ ความผิดตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร นอกจากจะเอาความผิดต่อผู้หลีกเลี่ยงค่าภาษีอากรแล้ว ยังเอาผิดต่อผู้ที่ เกี่ยวข้อง ในการหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากรด้วย ฉะนั้น แม้บริษัท ท. จำกัด จะ เป็น ผู้นำเครื่องจักรเข้ามาในราชอาณาจักร แต่เมื่อจำเลย ซึ่ง เป็น ตัวแทน ของบริษัท ท.จำกัดเกี่ยวข้องในการหลีกเลี่ยงภาษีอากรของบริษัทท.จำกัด ด้วย จำเลยย่อมมีความผิดฐานดังกล่าว เจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนอธิบดีกรมศุลกากรได้เรียกให้ จำเลยไปตกลงระงับคดี โดยจะเปรียบเทียบปรับแก่จำเลย แต่เมื่อจำเลยไม่ยอมชำระค่าปรับตามที่ตกลงยินยอมกรณีก็ถือไม่ได้ว่า มีการเปรียบเทียบปรับอันจะทำให้คดีของจำเลยเลิกกันตามพระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 102,102 ทวิ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39 ประกอบมาตรา 37(4).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4082/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดศุลกากรฐานหลีกเลี่ยงอากรและสำแดงเท็จเป็นความผิดต่างกรรมกัน การเปรียบเทียบปรับต้องทำก่อนฟ้องจึงมีผลระงับคดี
ความผิดตาม พ.ร.บ. ศุลกากรฯ มาตรา 27 ฐานหลีกเลี่ยงอากร กับมาตรา 99 ฐานสำแดงเท็จ เป็นความผิดต่างกรรมกัน คดีอาญาจะเลิกกันตาม ป.วิ.อ. มาตรา 37(4) โดยการเปรียบเทียบคดี ตาม พ.ร.บ. ศุลกากร มาตรา 102,102 ทวิ ก็ต่อเมื่อบุคคล ผู้กระทำความผิดตกลงยินยอมและใช้ค่าปรับก่อนถูกฟ้องเท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4082/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากร แม้ขาดอายุความฟ้องฐานสำแดงเท็จ ก็ยังฟ้องฐานหลีกเลี่ยงภาษีได้ ผู้เกี่ยวข้องกับการหลีกเลี่ยงภาษีย่อมมีความผิด
จำเลยเป็นผู้จัดการของบริษัท ท.จำกัด ได้สั่งเครื่องจักรหลายประเภทเข้ามาในราชอาณาจักร โดยสำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าเพื่อชำระอากรต่ำกว่าราคาที่แท้จริง อันเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร ทั้งฐานสำแดงเท็จตามมาตรา 99 และฐานหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากรตามมาตรา 27 ซึ่งเป็นความผิดต่างกรรมกัน แม้โจทก์จะมิได้ฟ้องจำเลยในความผิดตามมาตรา 99 เพราะขาดอายุความแล้ว ก็ย่อมฟ้องจำเลยในความผิดตามมาตรา 27 ได้
ความผิดตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร นอกจากจะเอาความผิดต่อผู้หลีกเลี่ยงค่าภาษีอากรแล้ว ยังเอาผิดต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในการหลีกเลี่ยงค่าภาษีอากรด้วย ฉะนั้นแม้บริษัท ท.จำกัด จะเป็นผู้นำเครื่องจักรเข้ามาในราชอาณาจักร แต่เมื่อจำเลยซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัท ท.จำกัด เกี่ยวข้องในการหลีกเลี่ยงภาษีอากรของบริษัท ท.จำกัดด้วย จำเลยย่อมมีความผิดฐานดังกล่าว
เจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนอธิบดีกรมศุลกากรได้เรียกให้จำเลยไปตกลงระงับคดี โดยจะเปรียบเทียบปรับแก่จำเลย แต่เมื่อจำเลยไม่ยอมชำระค่าปรับตามที่ตกลงยินยอมกรณีก็ถือไม่ได้ว่า มีการเปรียบเทียบปรับอันจะทำให้คดีของจำเลยเลิกกันตามพระราชบัญญัติศุลกากรมาตรา 102, 102 ทวิ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 ประกอบมาตรา 37 (4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3930/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ แม้การให้ไม่สมบูรณ์ แต่ครอบครองต่อเนื่องเกิน 10 ปี
แม้การยกให้ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525เพราะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตามแต่บิดาผู้ร้องและผู้ร้องครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทต่อมาภายหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่ความตายโดยครอบครองไว้เพื่อตนเอง ซึ่งเมื่อนับแต่วันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายจนถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องย่อมได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินพิพาทด้วยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ได้ครอบครองมรดกและมิได้เรียกร้องเอาส่วนมรดกภายใน 1 ปี นับแต่วันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ผู้คัดค้านที่ 2 เพิ่งจะเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทในภายหลังย่อมหมดสิทธิที่จะรับมรดก และการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทของผู้คัดค้านที่ 2 ดังกล่าวจะถือว่าเป็นการครอบครองทรัพย์มรดกเพื่อตนเองและเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่นไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3930/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ แม้การยกให้ไม่สมบูรณ์ และสิทธิของทายาทที่ขาดอายุความ
แม้การยกให้ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 เพราะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม แต่บิดาผู้ร้องและผู้ร้องครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทต่อมาภายหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่ความตายโดยครอบครองไว้เพื่อตนเอง ซึ่งเมื่อนับแต่วันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายจนถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องย่อมได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินพิพาทด้วยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382
ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ได้ครอบครองมรดกและมิได้เรียกร้องเอาส่วนมรดกภายใน 1 ปีนับแต่วันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ผู้คัดค้านที่ 2 เพิ่งจะเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทในภายหลัง ย่อมหมดสิทธิที่จะรับมรดก และการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทของผู้คัดค้านที่ 2 ดังกล่าวจะถือว่าเป็นการครอบครองทรัพย์มรดกเพื่อตนเองและเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2595/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน & อำนาจศาลอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งไม่รับฟ้อง: โจทก์ไม่เป็นโจทก์ในคดีก่อน ไม่เป็นฟ้องซ้อน
คำว่าโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1)ซึ่งจะเป็นฟ้องซ้อนนั้น โจทก์ในคดีแรกต้องเป็นโจทก์ในคดีหลังด้วยเมื่อโจทก์ในคดีนี้ของศาลแพ่งไม่ได้เป็นโจทก์ในคดีก่อนของศาลจังหวัดชลบุรี ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน คดีนี้เดิมศาลแพ่งมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์ ต่อมาได้ชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นแล้วมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ได้รับฟ้อง เป็นไม่รับฟ้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์ยกคำสั่งศาลแพ่งที่เพิกถอนคำสั่งไม่รับฟ้องให้ศาลชั้นต้นรับฟ้อง ดังนี้แม้ศาลอุทธรณ์จะเห็นพ้องกับศาลแพ่งที่สั่งไม่รับฟ้องเพราะฟ้องโจทก์ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(1) ก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลแพ่งได้รับฟ้องของโจทก์นัดชี้สองสถานกำหนดให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่ม โจทก์เสียค่าขึ้นศาลครบแล้ว เป็นการรับฟ้องโจทก์ไว้โดยอาศัยบทบัญญัติพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(4) แล้วก็หาชอบที่จะใช้ดุลพินิจเพิกถอนคำสั่งของตนไม่ ศาลอุทธรณ์จึงชอบที่จะเพิกถอนคำสั่งศาลแพ่งที่ไม่รับฟ้องโจทก์เสียได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2519/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษต่อเมื่อคำฟ้องไม่ได้บรรยายข้อเท็จจริงชัดเจน แม้จำเลยจะรับสารภาพ
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต่อมาได้ขอแก้ไขคำฟ้องว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอื่นหลายคดีรวมทั้งคดีหมายเลขแดงที่ 2510/2533 ของศาลอาญาธนบุรีขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีดังกล่าว แต่ภายหลังโจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับหมายเลขคดีที่ขอให้นับโทษต่ออีก ซึ่งหลังจากศาลอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องครั้งหลังแล้ว คำฟ้องโจทก์ไม่มีข้อความระบุว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2510/2533ของศาลอาญาธนบุรี คงมีแต่คำขอท้ายฟ้องขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีดังกล่าว ถือว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวดังนี้ ศาลจะนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีดังกล่าวตามคำขอท้ายฟ้องโดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวในคำบรรยายฟ้องไม่ได้ แม้จำเลยให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีอาญาต่าง ๆตามที่โจทก์ฟ้องและขอแก้ไขคำฟ้อง ก็หมายความเพียงว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำบรรยายฟ้องเท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2519/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้องคดีอาญาและการนับโทษต่อเนื่อง จำเป็นต้องบรรยายฟ้องระบุตัวบุคคลให้ชัดเจน
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต่อมาได้ขอแก้ไขคำฟ้องว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอื่นหลายคดีรวมทั้งคดีหมายเลขแดงที่2510/2533 ของศาลอาญาธนบุรี ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีดังกล่าว แต่ภายหลังโจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับหมายเลขคดีที่ขอให้นับโทษต่ออีก ซึ่งหลังจากศาลอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องครั้งหลังแล้ว คำฟ้องโจทก์ไม่มีข้อความระบุว่า จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2510/2533 ของศาลอาญาธนบุรี คงมีแต่คำขอท้ายฟ้องขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีดังกล่าว ถือว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว ดังนี้ ศาลจะนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีดังกล่าวตามคำขอท้ายฟ้องโดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวในคำบรรยายฟ้องไม่ได้ แม้จำเลยให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีอาญาต่าง ๆ ตามที่โจทก์ฟ้องและขอแก้ไขคำฟ้อง ก็หมายความเพียงว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำบรรยายฟ้องเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2405/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาต่างตอบแทน การผิดสัญญาซื้อขายผ้า และหน้าที่ชำระราคาส่วนที่รับไว้
จำเลยให้การว่า โจทก์ผิดสัญญา ส่งผ้าให้แก่จำเลยช้าและไม่ครบจำนวนตามสัญญา ทำให้จำเลยเสียหาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับจำเลยให้ชดใช้ราคาค่าผ้าที่โจทก์ส่งมอบให้แก่จำเลยตามฟ้องจำเลยอุทธรณ์ว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนเมื่อโจทก์ชำระหนี้ไม่ถูกต้องครบถ้วนในเวลาที่กำหนดไว้ จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตอบแทน ดังนี้ แม้คำให้การดังกล่าวจำเลยจะไม่ได้ให้การให้ปรากฏถ้อยคำว่า "สัญญาต่างตอบแทน" ไว้ด้วยแต่ก็มีความหมายอยู่ในตัวแล้วว่า สัญญาซื้อขายผ้าตามฟ้องเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อโจทก์ไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาจำเลยจึงไม่มีหน้าที่ชำระราคาเป็นการตอบแทน ข้ออุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวกับคำให้การจำเลยเป็นเรื่องเดียวกันและเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงไม่ชอบ แต่จำเลยได้ยกประเด็นดังกล่าวเป็นข้อฎีกาขึ้นมาแล้วศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาตามประเด็นข้อนี้เสียเอง โดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ได้.
of 93