คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นาม ยิ้มแย้ม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 924 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2628/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดี, ความรับผิดร่วม, การแบ่งแยกหนี้, การฟ้องคดีถึงที่สุด, อำนาจฟ้อง
จำเลยที่3ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองสวัสดิการของโจทก์ตั้งแต่วันที่5กุมภาพันธ์2519ถึงวันที่14พฤศจิกายน2519แต่โจทก์ฟ้องจำเลยที่3เมื่อวันที่1กรกฎาคม2528แม้จะฟังว่าโจทก์ฟ้องคดีภายในกำหนด1ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ตามแต่เมื่อนับถึงวันที่จำเลยที่3ทำละเมิดก็ต้องหมายถึงว่าในขณะที่จำเลยที่3ปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งหัวหน้ากองสวัสดิการของโจทก์นั่นเองดังนั้นการทำละเมิดของจำเลยที่3ต่อโจทก์ช่วงตั้งแต่วันที่5กุมภาพันธ์2519ถึงวันที่30มิถุนายน2519ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนฟ้อง10ปีฟ้องของโจทก์ย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา448วรรคหนึ่งโจทก์คงฟ้องจำเลยที่3ได้เฉพาะการทำละเมิดในช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่1กรกฎาคม2519ถึงวันที่14พฤศจิกายน2519ซึ่งเมื่อนับถึงวันฟ้องแล้วยังไม่เกิน10ปีเท่านั้น โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยที่3ที่4ที่6ที่8และที่9ปฎิบัติหน้าที่ราชการโดยความบกพร่องและโดยความประมาทเลินเล่อไม่ปฎิบัติตามระเบียบที่โจทก์กำหนดไว้อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริงไม่ใช่ฎีกาโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายของระเบียบหรือคำสั่งของโจทก์อันจะเป็นข้อกฎหมายเมื่อโจทก์ฎีกาให้จำเลยที่3ที่4ที่6ที่8และที่9รับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่3ร่วมรับผิดไม่เกิน140,645บาทจำเลยที่4ร่วมรับผิดไม่เกิน70,820บาทจำเลยที่6ร่วมรับผิดไม่เกิน64,145บาทจำเลยที่8ร่วมรับผิดไม่เกิน97,835บาทและจำเลยที่9ร่วมรับผิดไม่เกิน104,400บาทแยกจากกันจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีการะหว่างโจทก์กับจำเลยที่3ที่4ที่6ที่8และที่9แต่ละรายไม่เกิน200,000บาทคดีโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง หนี้ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่10และที่11ชดใช้ให้แก่โจทก์จำนวน264,735บาทและจำนวน277,320บาทตามลำดับเป็นหนี้ที่ถึงที่สุดแล้วโดยคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและหนี้ทั้งสองจำนวนดังกล่าวแม้จะเป็นหนี้ร่วมกับจำเลยอื่นอันเกิดจากมูลละเมิดก็ตามแต่เกิดจากการกระทำที่แตกต่างกันและศาลชั้นต้นก็ได้แยกความรับผิดที่จำเลยอื่นจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่10และที่11ไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยคนไหนจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่10และที่11ต่อโจทก์จึงเป็นหนี้ที่แบ่งแยกได้เมื่อหนี้ที่จำเลยที่10และที่11จะต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยอื่นที่อุทธรณ์เป็นหนี้ที่แบ่งแยกได้คดีของจำเลยที่10และที่11จึงไม่ได้ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา245(1)ศาลอุทธรณ์จะอาศัยอำนาจตามกฎหมายดังกล่าวพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่10และที่11ที่คดีถึงที่สุดโดยคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วเพื่อมิให้จำเลยที่10และที่11ต้องรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ด้วยไม่ได้ ฎีกาของจำเลยที่9ในข้อที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่9ขาดอายุความนั้นเมื่อตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จำเลยที่9ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ฎีกาของจำเลยที่9ทุกข้อจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2628/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิด, ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง, และขอบเขตการบังคับใช้คำพิพากษา
จำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองสวัสดิการของโจทก์ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2519 ถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2519 แต่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2528 แม้จะฟังว่าโจทก์ฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ตาม แต่เมื่อนับถึงวันที่จำเลยที่ 3 ทำละเมิดก็ต้องหมายถึงว่าในขณะที่จำเลยที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งหัวหน้ากองสวัสดิการของโจทก์นั่นเอง ดังนั้นการทำละเมิดของจำเลยที่ 3 ต่อโจทก์ช่วงตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2519 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2519 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนฟ้อง 10 ปี ฟ้องของโจทก์ย่อมขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคหนึ่งโจทก์คงฟ้องจำเลยที่ 3 ได้เฉพาะการทำละเมิดในช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1กรกฎาคม 2519 ถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2519 ซึ่งเมื่อนับถึงวันฟ้องแล้วยังไม่เกิน10 ปี เท่านั้น
โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4ที่ 6 ที่ 8 และที่ 9 ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยความบกพร่องและโดยความประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่โจทก์กำหนดไว้อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งเป็นฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริง ไม่ใช่ฎีกาโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายของระเบียบหรือคำสั่งของโจทก์อันจะเป็นข้อกฎหมาย เมื่อโจทก์ฎีกาให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 6ที่ 8 และที่ 9 รับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดไม่เกิน 140,645 บาท จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดไม่เกิน70,820 บาท จำเลยที่ 6 ร่วมรับผิดไม่เกิน 64,145 บาท จำเลยที่ 8 ร่วมรับผิดไม่เกิน 97,835 บาท และจำเลยที่ 9 ร่วมรับผิดไม่เกิน 104,400 บาท แยกจากกัน จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีการะหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 6ที่ 8 และที่ 9 แต่ละรายไม่เกิน 200,000 บาท คดีโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
หนี้ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 10 และที่ 11 ชดใช้ให้แก่โจทก์จำนวน 264,735 บาท และจำนวน 277,320 บาท ตามลำดับ เป็นหนี้ที่ถึงที่สุดแล้วโดยคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และหนี้ทั้งสองจำนวนดังกล่าวแม้จะเป็นหนี้ร่วมกับจำเลยอื่นอันเกิดจากมูลละเมิดก็ตาม แต่เกิดจากการกระทำที่แตกต่างกันและศาลชั้นต้นก็ได้แยกความรับผิดที่จำเลยอื่นจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 10 และที่ 11 ไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยคนไหนจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 10 และที่ 11 ต่อโจทก์ จึงเป็นหนี้ที่แบ่งแยกได้ เมื่อหนี้ที่จำเลยที่ 10 และที่ 11 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยอื่นที่อุทธรณ์เป็นหนี้ที่แบ่งแยกได้ คดีของจำเลยที่ 10และที่ 11 จึงไม่ได้ตกอยู่ในบังคับแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 245(1) ศาลอุทธรณ์จะอาศัยอำนาจตามกฎหมายดังกล่าวพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 10 และที่ 11ที่คดีถึงที่สุดโดยคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วเพื่อมิให้จำเลยที่ 10 และที่ 11ต้องรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ด้วยไม่ได้
ฎีกาของจำเลยที่ 9 ในข้อที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 9 ขาดอายุความนั้น เมื่อตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จำเลยที่ 9 ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ 9 ทุกข้อจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2481/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินการเพื่ออุทธรณ์หลังศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอนาถา ต้องดำเนินการภายในกำหนดเวลาเดียวกัน
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์จำเลยทั้งสองมีสิทธิดำเนินการเพื่อให้ศาลรับอุทธรณ์ของตนได้โดยนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน15วันตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดกรณีหนึ่งหรือยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา156วรรคสี่อีกกรณีหนึ่งเมื่อจำเลยทั้งสองใช้สิทธิดำเนินการในกรณีหลังก็ต้องยื่นคำร้องเสียภายในกำหนด15วันเช่นเดียวกันเพราะเป็นการใช้สิทธิเพื่อให้ศาลรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเหมือนกันแต่จำเลยทั้งสองใช้สิทธิดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา156วรรคสี่เมื่อพ้นกำหนด15วันแล้วจึงชอบที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตและไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองมิได้แก้อุทธรณ์ตั้งประเด็นในปัญหาว่าโจทก์ไม่คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นภายใน8วันจึงหมดสิทธิคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นจำเลยยกปัญหาดังกล่าวขึ้นฎีกาจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2481/2539 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินการเพื่ออุทธรณ์หลังศาลยกคำร้องขอเป็นคนอนาถา: กำหนดระยะเวลาและสิทธิในการยื่นคำร้องใหม่
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองมีสิทธิดำเนินการเพื่อให้ศาลรับอุทธรณ์ของตนได้โดยนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน 15 วัน ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดกรณีหนึ่ง หรือยื่นคำร้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 156 วรรคสี่ อีกกรณีหนึ่ง เมื่อจำเลยทั้งสองใช้สิทธิดำเนินการในกรณีหลังก็ต้องยื่นคำร้องเสียภายในกำหนด 15 วัน เช่นเดียวกันเพราะเป็นการใช้สิทธิเพื่อให้ศาลรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเหมือนกัน แต่จำเลยทั้งสองใช้สิทธิดำเนินการตาม ป.วิ.พ. มาตรา 156 วรรคสี่ เมื่อพ้นกำหนด15 วัน แล้วจึงชอบที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตและไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง
โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองมิได้แก้อุทธรณ์ตั้งประเด็นในปัญหาว่าโจทก์ไม่คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นภายใน 8 วัน จึงหมดสิทธิคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยยกปัญหาดังกล่าวขึ้นฎีกาจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2481/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินการเพื่ออุทธรณ์หลังศาลยกคำร้องขอเป็นคนอนาถา ต้องยื่นภายใน 15 วัน แม้กฎหมายไม่ได้กำหนด
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองมีสิทธิดำเนินการเพื่อให้ศาลรับอุทธรณ์ของตนได้โดยนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน 15 วัน ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดกรณีหนึ่ง หรือยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคสี่ อีกกรณีหนึ่ง เมื่อจำเลยทั้งสองใช้สิทธิดำเนินการในกรณีหลังก็ต้องยื่นคำร้องเสียภายในกำหนด 15 วันเช่นเดียวกันเพราะเป็นการใช้สิทธิเพื่อให้ศาลรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเหมือนกัน แต่จำเลยทั้งสองใช้สิทธิดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ เมื่อพ้นกำหนด15 วัน แล้วจึงชอบที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตและไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองมิได้แก้อุทธรณ์ตั้งประเด็นในปัญหาว่าโจทก์ไม่คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นภายใน 8 วัน จึงหมดสิทธิคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยยกปัญหาดังกล่าวขึ้นฎีกาจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2481/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินการเพื่ออุทธรณ์หลังศาลยกคำร้องขอเป็นคนอนาถา ต้องกระทำภายในกำหนดเวลาที่ศาลกำหนด
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์จำเลยทั้งสองมีสิทธิดำเนินการเพื่อให้ศาลรับอุทธรณ์ของตนได้โดยนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน15วันตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดกรณีหนึ่งหรือยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา156วรรคสี่อีกกรณีหนึ่งเมื่อจำเลยทั้งสองใช้สิทธิดำเนินการในกรณีหลังก็ต้องยื่นคำร้องเสียภายในกำหนด15วันเช่นเดียวกันเพราะเป็นการใช้สิทธิเพื่อให้ศาลรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเหมือนกันแต่จำเลยทั้งสองใช้สิทธิดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา156วรรคสี่เมื่อพ้นกำหนด15วันแล้วจึงชอบที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตและไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองมิได้แก้อุทธรณ์ตั้งประเด็นในปัญหาว่าโจทก์ไม่คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นภายใน8วันจึงหมดสิทธิคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นจำเลยยกปัญหาดังกล่าวขึ้นฎีกาจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2481/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินการเพื่ออุทธรณ์หลังศาลยกคำร้องอนาถา: กำหนดเวลาดำเนินการเช่นเดียวกับการชำระค่าธรรมเนียม
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยทั้งสองในชั้นอุทธรณ์จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิดำเนินการเพื่อให้ศาลรับอุทธรณ์ของตนได้คือนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระเสียภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดกรณีหนึ่งหรือยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา156วรรคสี่อีกกรณีหนึ่งเมื่อจำเลยทั้งสองใช้สิทธิดำเนินการในกรณีหลังแม้กฎหมายมาตราดังกล่าวนี้จะไม่ได้กำหนดระยะเวลาให้ยื่นคำร้องไว้แต่เมื่อการใช้สิทธิดำเนินการในกรณีแรกคือนำเงิน ค่าธรรมเนียมมาชำระต้องนำมาชำระภายใน15วันตามคำสั่งศาลชั้นต้นดังนี้การใช้สิทธิดำเนินการในกรณีหลังก็ต้องดำเนินการเสียภายใน15วันเช่นเดียวกันเพราะเป็นการใช้สิทธิเพื่อให้ศาลรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเหมือนกันจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องเมื่อพ้นกำหนด15วันศาลอุทธรณ์ย่อมไม่รับอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2320/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมจำกัดเฉพาะที่ดินสามยทรัพย์ การโอนสิทธิและหน้าที่เมื่อมีการแบ่งแยกที่ดิน
โจทก์และจำเลยที่ 1 จดทะเบียนภารจำยอมโดยมีเงื่อนไขว่า เจ้าของสามยทรัพย์จะเปิดให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นร่วมใช้ด้วยไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าของภารยทรัพย์ และย่อมถือว่าประพฤติผิดสัญญา จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รับการให้ที่ดินสามยทรัพย์จากจำเลยที่ 1 ต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ จำเลยที่ 2 ได้นำที่ดินที่รับให้ไปจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่ที่ดินแปลงอื่นผ่านที่ดินแปลงนี้มาร่วมใช้ทางภารจำยอมบนที่ดินของโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 3 ได้เปิดทางให้ผู้อื่นซึ่งมีบ้านอยู่ในที่ดินแปลงอื่นผ่านเข้ามาในที่ดินสามยทรัพย์แล้วผ่านทางภารจำยอมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ออกสู่ทางสาธารณะด้วย เป็นการประพฤติผิดสัญญาและ เป็นการเพิ่มภาระให้แก่ภารยทรัพย์ โจทก์ขอให้เพิกถอน การจดทะเบียนภารจำยอมแก่ที่ดินที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับโอนมาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2320/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระผูกพันตามสัญญาภารจำยอม, การโอนสิทธิและหน้าที่, การประพฤติผิดสัญญา, และผลกระทบต่อผู้รับโอน
จำเลยที่1ได้แบ่งแยกที่ดินซึ่งเป็นสามยทรัพย์ออกเป็น5แปลงแล้วยกให้จำเลยที่2ถึงที่4ทางภารจำยอมบนที่ดินซึ่งเป็นภารยทรัพย์ของโจทก์ยังคงมีอยู่เพื่อประโยชน์แก่ทุกส่วนของที่ดินที่แบ่งแยกทั้ง5แปลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1395 จำเลยที่1โอนที่ดินซึ่งเป็นสามยทรัพย์ทั้งแปลงให้แก่จำเลยที่2ถึงที่4ไปแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจบังคับจำเลยที่1ให้เพิกถอนสัญญาภารจำยอมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1ได้ ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์แถลงว่าจำเลยที่4ไม่ได้ประพฤติผิดสัญญาภารจำยอมกรณีไม่มีข้อโต้แย้งกันจึงไม่มีข้อพิพาทที่โจทก์จะบังคับจำเลยที่4ตามฟ้องได้ การจดทะเบียนภารจำยอมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1มีข้อตกลงและเงื่อนไขว่าเจ้าของสามยทรัพย์จะนำเอาทางภารจำยอมไปให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นร่วมใช้ด้วยไม่ได้เด็ดขาดเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าของภารยทรัพย์และหากมีการเปิดทางภารจำยอมให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นร่วมใช้ด้วยบรรดาผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนต่างๆยินยอมให้ตกได้แก่เจ้าของภารยทรัพย์แต่ผู้เดียวข้อตกลงดังกล่าวแสดงถึงเจตนาของโจทก์เจ้าของภารยทรัพย์และจำเลยที่1ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์อย่างชัดเจนคู่สัญญาย่อมต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำกันไว้หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติย่อมเป็นการประพฤติผิดสัญญาภารจำยอมเป็นทรัพยสิทธิเมื่อจำเลยที่2และที่3ต่างได้รับการยกให้ที่ดินสามยทรัพย์มาจากจำเลยที่1จึงต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่คือต้องปฏิบัติตามข้อตกลงและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาภารจำยอมโดยจะนำที่ดินสามยทรัพย์ของตนไปเปิดให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นมาร่วมใช้ไม่ได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากโจทก์เมื่อจำเลยที่2นำที่ดินสามยทรัพย์ที่คงเหลือจากการแบ่งแยกไปจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่ที่ดินแปลงอื่นอีก4แปลงผ่านแล้วมาร่วมใช้ทางภารจำยอมบนที่ดินภารยทรัพย์ของโจทก์ส่วนจำเลยที่3ได้เปิดทางให้บุคคลอื่นที่มีบ้านในที่ดินแปลงอื่นผ่านเข้ามาในที่ดินสามยทรัพย์แล้วผ่านทางภารจำยอมในที่ดินโจทก์ออกสู่ทางสาธารณะการกระทำของจำเลยที่2และที่3เป็นการประพฤติผิดสัญญาและเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ภารยทรัพย์โจทก์ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนภารจำยอมได้เพราะที่ดินของจำเลยที่2และที่3เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่เป็นสามยทรัพย์ในทางภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ซึ่งเป็นภารยทรัพย์ ฎีกาของจำเลยที่2และที่3ที่ว่าได้สิทธิทางภารจำยอมโดยอายุความตามฟ้องแย้งนั้นเมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องแย้งโดยฟังว่าจำเลยที่2และที่3ไม่ได้สิทธิทางภารจำยอมโดยอายุความจำเลยที่2และที่3ไม่ได้อุทธรณ์จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์และยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2281/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดประเด็นข้อพิพาท, การโต้แย้งคำสั่งศาล, และข้อจำกัดการฎีกาในคดีที่มีราคาทรัพย์สินต่ำ
จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ เนื่องจากที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ รายละเอียดจำเลยจะนำสืบและอ้างเอกสารส่งในชั้นพิจารณา คำให้การจำเลยจึงมีประเด็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากที่ดินพิพาทเป็นที่ดินป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ โดยให้จำเลยสืบก่อนแล้วโจทก์สืบแก้ หากโจทก์เห็นว่าจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งในประเด็นดังกล่าว โจทก์ชอบที่จะโต้แย้งคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นไว้ เนื่องจากเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา แต่โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226
โจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบยังฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาตินั้น เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งคดีมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ส่วนโจทก์ฎีกาว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ฎีกาโจทก์ข้อนี้โจทก์ได้อุทธรณ์ประเด็นข้อนี้ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ได้วินิจฉัยและฎีกาของโจทก์ข้อนี้ไม่ได้คัดค้านว่าการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่วินิจฉัยไม่ชอบแต่อย่างใด ฎีกาของโจทก์จึงไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
of 93