พบผลลัพธ์ทั้งหมด 924 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1514/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพาไปเพื่ออนาจาร, หน่วงเหนี่ยว, และพรากผู้เยาว์: การกระทำต่อเนื่องเป็นกรรมเดียว
จำเลยที่ 1 กับพวกขับรถพาผู้เสียหายไปยังที่เปลี่ยวแล้วปลุกปล้ำจับหน้าอกและถอดเสื้อกางเกงผู้เสียหาย พอดีมีรถยนต์บรรทุกผ่านมา จำเลยที่ 1 จึงขับรถพาผู้เสียหายไปยังบ่อเลี้ยงปลาและดึงตัวผู้เสียหายลงมาจากรถ จำเลยที่ 1 กอดจูบผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 กระชากกางเกงของผู้เสียหายออก ผู้เสียหายดิ้นหลุดแล้วกระโดดลงไปในบ่อเลี้ยงปลา จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกพูดข่มขู่ว่าถ้าไม่ขึ้นมาจะตามลงไปกดให้ตายบ้าง จะเอาไฟฟ้าช็อตบ้าง ทั้งมีพวกจำเลยบางคนถอดเสื้อกางเกงออกหมด บางคนเหลือแต่กางเกงในเป็นเหตุให้ผู้เสียหายไม่กล้าขึ้น ต้องทนทรมานอยู่ในบ่อถึง 1 ชั่วโมงเศษ และที่ผู้เสียหาขึ้นจากบ่อก็เพราะถูกหลอกว่าพวกจำเลยไปหมดแล้ว ผู้เสียหายจึงขึ้นมาแล้วถูกจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกจับตัว ข่มขืนกระทำชำเราการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและฐานหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพ
การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 หน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายไว้ก็เพื่อมุ่งประสงค์ที่จะเอาตัวผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นความประสงค์มาตั้งแต่ แรกแล้ว การกระทำดังกล่าวจึงต่อเนื่องกันตลอดมาโดยไม่ขาดตอน การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
แม้จะได้ความว่า ผู้เสียหายออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น แต่มารดาก็ยังให้สร้อยทองคำ ถือได้ว่ามารดายังอุปการะเลี้ยงดูผู้เสียหายอยู่ การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 พาผู้เสียหายไปกระทำอนาจารโดยผู้เสียหายไม่ยินยอมถือได้ว่าเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดามารดาจึงเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์
หมายเหตุ วรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2532
การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 หน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายไว้ก็เพื่อมุ่งประสงค์ที่จะเอาตัวผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นความประสงค์มาตั้งแต่ แรกแล้ว การกระทำดังกล่าวจึงต่อเนื่องกันตลอดมาโดยไม่ขาดตอน การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
แม้จะได้ความว่า ผู้เสียหายออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น แต่มารดาก็ยังให้สร้อยทองคำ ถือได้ว่ามารดายังอุปการะเลี้ยงดูผู้เสียหายอยู่ การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 พาผู้เสียหายไปกระทำอนาจารโดยผู้เสียหายไม่ยินยอมถือได้ว่าเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดามารดาจึงเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์
หมายเหตุ วรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2532
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1514/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเรา, พรากผู้เยาว์, หน่วงเหนี่ยว, พาหญิงไปเพื่อการอนาจาร: ความผิดกรรมเดียว, การพิพากษาโทษ
จำเลยที่ 1 กับพวกขับรถพาผู้เสียหายไปยังที่เปลี่ยวแล้วปลุกปล้ำจับหน้าอกและถอดเสื้อกางเกงผู้เสียหาย พอดีมีรถยนต์บรรทุกผ่านมาจำเลยที่ 1 จึงขับรถพาผู้เสียหายไปยังบ่อเลี้ยงปลาและดึงตัวผู้เสียหายลงมาจากรถจำเลยที่ 1 กอดจูบผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 กระชากกางเกงของผู้เสียหายออกผู้เสียหายดิ้นหลุดแล้วกระโดดลงไปในบ่อเลี้ยงปลา จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกพูดข่มขู่ว่าถ้าไม่ขึ้นมาจะตามลงไปกดให้ตายบ้าง จะเอาไฟฟ้าช็อตบ้าง ทั้งมีพวกจำเลยบางคนถอดเสื้อกางเกงออกหมด บางคนเหลือแต่กางเกงในเป็นเหตุให้ผู้เสียหายไม่กล้าขึ้นต้องทนทรมานอยู่ในบ่อถึง 1 ชั่วโมงเศษ และที่ผู้เสียหายขึ้นจากบ่อก็เพราะถูกหลอกว่าพวกจำเลยไปหมดแล้ว ผู้เสียหายจึงขึ้นมาแล้วถูกจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกจับตัวข่มขืนกระทำชำเรา การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและฐานหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพ การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 หน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายไว้ก็เพื่อมุ่งประสงค์ที่จะเอาตัวผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นความประสงค์มาตั้งแต่แรกแล้ว การกระทำดังกล่าวจึงต่อเนื่องกันตลอดมาโดยไม่ขาดตอน การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท แม้จะได้ความว่า ผู้เสียหายออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น แต่มารดาก็ยังให้สร้อยทองคำ ถือได้ว่ามารดายังอุปการะเลี้ยงดูผู้เสียหายอยู่การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 พาผู้เสียหายไปกระทำอนาจารโดยผู้เสียหายไม่ยินยอมถือได้ว่าเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดามารดาจึงเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1489/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาจากการขับรถประมาทชนแล้วไม่แจ้งเหตุ การหลบหนีและความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก
การที่จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทชนผู้ตายแล้วจำเลยนำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลในทันทีหลังจากเกิดเหตุ โดยมิได้แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จะถือว่าจำเลยหลบหนีไปจนเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับอันตรายถึงตายตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 160 วรรคสองหาได้ไม่ จำเลยคงมีความผิดตาม มาตรา 160 วรรคแรก เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1489/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประมาททางรถยนต์และการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ไม่ถือว่าหลบหนี
การที่จำเลยขับรถยนต์ โดยประมาทชนผู้ตายแล้วจำเลยนำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลในทันทีหลังจากเกิดเหตุโดย มิได้แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จะถือว่าจำเลยหลบหนีไปจนเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับอันตรายถึงตาย ตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 160 วรรคสองหาได้ไม่ จำเลยคงมีความผิดตาม มาตรา 160วรรคแรก เท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1489/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานขับรถประมาทและหน้าที่หลังเกิดเหตุ: การนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลมิใช่การหลบหนี
การที่จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทชนผู้ตายแล้วจำเลยนำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลในทันทีหลังจากเกิดเหตุ โดยมิได้แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จะถือว่าจำเลยหลบหนีไปจนเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับอันตรายถึงตายตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 160 วรรคสอง หาได้ไม่ จำเลยคงมีความผิดตามมาตรา 160 วรรคแรกเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1489/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์และการแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ การกระทำที่เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย
จำเลยนำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลในทันทีหลังจากที่ขับรถชนผู้ตาย ถือไม่ได้ว่าจำเลยหลบหนีไปจนเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับอันตรายถึงตายตาม พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 160วรรคสอง จำเลยคงมีความผิดตามมาตรา 160 วรรคแรก เท่านั้น.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1359-1360/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ: การวินิจฉัยศาลเป็นเพียงความเห็น ไม่ถือเป็นเท็จโดยตัวมันเอง
จำเลยฟ้องกล่าวหาโจทก์ว่าออกเช็ค โดย เจตนามิให้มีการใช้ เงินตามเช็ค และเบิกความว่าโจทก์นำเช็ค มาขายลดกับจำเลยโดย เป็นผู้ลงวันที่สั่งจ่ายต่อหน้าจำเลย แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ โดย วินิจฉัยว่าโจทก์ออกเช็คพิพาทให้จำเลยเพื่อประกันการกู้เงิน และมิได้ลงวันที่สั่งจ่ายก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ เพราะข้อวินิจฉัยของศาลเป็นเพียงการแสดงความเห็นในการชี้ขาดตัดสินคดีอย่างหนึ่งเท่านั้น จะเป็นเท็จหรือไม่เป็นปัญหาที่ต้อง มีการวินิจฉัยในเนื้อแท้ของความจริงให้เป็นที่ประจักษ์ต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1359-1360/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ: ศาลฎีกาพิจารณาพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ไม่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถรับฟังว่าเป็นความเท็จได้
จำเลยฟ้องกล่าวหาโจทก์ว่าออกเช็คโดยเจตนามิให้มีการใช้เงินตามเช็คและเบิกความว่าโจทก์นำเช็คมาขายลดกับจำเลยโดยเป็นผู้ลงวันที่สั่งจ่ายต่อหน้าจำเลย แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ออกเช็คพิพาทให้จำเลยเพื่อประกันการกู้เงิน และมิได้ลงวันที่สั่งจ่าย ก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ เพราะข้อวินิจฉัยของศาลในคดีเดิมเป็นเพียงการแสดงความเห็นในการชี้ขาดตัดสินคดีอย่างหนึ่งเท่านั้น จะเป็นเท็จหรือไม่เป็นปัญหาที่ต้องมีการวินิจฉัยในเนื้อแท้ของความจริงให้เป็นที่ประจักษ์ในคดีนี้ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1359-1360/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ: ข้อวินิจฉัยศาลยังไม่ถึงที่สุด การพิสูจน์ลายมือเป็นสาระสำคัญ
จำเลยฟ้องกล่าวหาโจทก์ว่าออกเช็คโดยเจตนามิให้มีการใช้เงินตามเช็ค และเบิกความว่าโจทก์นำเช็คมาขายลดกับจำเลยโดยเป็นผู้ลงวันที่สั่งจ่ายต่อหน้าจำเลย แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ออกเช็คพิพาทให้จำเลยเพื่อประกันการกู้เงิน และมิได้ลงวันที่สั่งจ่ายก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ เพราะข้อวินิจฉัยของศาลเป็นเพียงการแสดงความเห็นในการชี้ขาดตัดสินคดีอย่างหนึ่งเท่านั้น จะเป็นเท็จหรือไม่เป็นปัญหาที่ต้องมีการวินิจฉัยในเนื้อแท้ของความจริงให้เป็นที่ประจักษ์ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1288/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีเนื่องจากเหตุสุดวิสัยในการชำระค่าฤชาธรรมเนียม
ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ทิ้งฟ้องไปแล้ว เมื่อโจทก์มายื่นคำร้องแสดงเหตุอันสมควร ศาลชั้นต้นมีอำนาจไต่สวนคำร้องของโจทก์เพื่อทราบข้อเท็จจริงและถ้าเห็นว่าโจทก์มีพฤติการณ์พิเศษและเป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัย ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความนั้นเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 และขยายเวลาให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23.(ที่มา-ส่งเสริม)