พบผลลัพธ์ทั้งหมด 454 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2991/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้าง/ตัวการต่อละเมิดของลูกจ้าง/ตัวแทนในการปฏิบัติหน้าที่
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างหรือตัวการของจำเลยที่ 1 ทั้งเป็นผู้ใช้ จ้าง วาน หรือมอบหมายให้จำเลยที่ 1ขับรถยนต์คันเกิดเหตุเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างหรือที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 คำบรรยายฟ้องโจทก์ไม่ได้ขัดแย้งกันและเป็นการยืนยันว่าเหตุเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ ไม่ว่าจำเลยที่ 2 จะเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 หรือเป็นตัวการก็ตามฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2978/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ - สิทธิในที่ดิน - การซื้อขายจากผู้ไม่มีสิทธิ - เจ้าของที่แท้จริง
จำเลยที่ 1 นำเอาที่พิพาทของโจทก์ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3ก.) เป็นชื่อของตน และโอนขายที่พิพาทไป 2 แปลงแก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอม ที่จำเลยที่ 2 ซื้อที่พิพาทดังกล่าวเท่ากับซื้อไปจากผู้ที่ไม่มีสิทธิจะขาย แม้จำเลยที่ 2 จะซื้อด้วยความสุจริตเสียค่าตอบแทนและครอบครองที่พิพาทไว้ ก็ไม่ผูกพันโจทก์ผู้เป็นเจ้าของแท้จริงและจะครอบครองไว้นานสักเพียงใด ก็เป็นการครอบครองแทนโจทก์ผู้เป็นเจ้าของอยู่ตราบนั้นจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิในที่พิพาทดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2978/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: การซื้อที่ดินจากผู้ไม่มีสิทธิ ไม่ทำให้เกิดสิทธิแก่ผู้ซื้อ แม้จะสุจริตและครอบครองต่อเนื่อง
จำเลยที่ 1 นำเอาที่พิพาทของโจทก์ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3ก.) เป็นชื่อของตน และโอนขายที่พิพาทไป2 แปลงแก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอม ที่จำเลยที่ 2ซื้อที่พิพาทดังกล่าวเท่ากับซื้อไปจากผู้ที่ไม่มีสิทธิจะขาย แม้จำเลยที่ 2 จะซื้อด้วยความสุจริตเสียค่าตอบแทนและครอบครองที่พิพาทไว้ ก็ไม่ผูกพันโจทก์ผู้เป็นเจ้าของแท้จริงและจะครอบครองไว้นานสัก เพียงใด ก็เป็นการครอบครองแทนโจทก์ผู้เป็นเจ้าของอยู่ตราบนั้นจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิในที่พิพาทดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2616/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายในการถอนอุทธรณ์และการใช้ดุลพินิจของศาลเมื่อโจทก์เปลี่ยนความเห็น
โจทก์ได้ตั้ง ช. เป็นทนายให้มีอำนาจอุทธรณ์และถอนอุทธรณ์ด้วย ต่อมา ช. ได้ขอถอนอุทธรณ์ในนามของโจทก์ โดยให้เหตุผลการถอนอุทธรณ์ว่าเพราะตกลงกับจำเลยได้ ศาลชั้นต้นได้สอบถาม ช.และตัวจำเลยแล้ว ช. ก็ยืนยันว่าโจทก์ขอถอนอุทธรณ์และไม่ติดใจบังคับคดีกับจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อไป ส่วนจำเลยก็ยืนยันไม่คัดค้านเช่นกัน ฉะนั้นการที่ตัวโจทก์ยื่นคำร้องในวันนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่สั่งคำร้องขอถอนอุทธรณ์โดยทนายของโจทก์ดังกล่าวว่าโจทก์ไม่ถอนอุทธรณ์ โดยมิได้ให้เหตุผลว่าคำร้องขอถอนอุทธรณ์ที่ทนายโจทก์ยื่นแทนโจทก์นั้นไม่ชอบอย่างไร เหตุใดโจทก์จึงมีความเห็นขัดแย้งกับทนายโจทก์ในเรื่องขอถอนอุทธรณ์ ทั้งโจทก์ก็มิได้ปฏิเสธในเรื่องตกลงกับจำเลยได้ตามคำร้องขอถอนอุทธรณ์ที่ ช.ทนายโจทก์อ้างถึง ดังนี้การที่ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องของตัวโจทก์ดังกล่าวจึงชอบแล้วเพราะหากไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนอุทธรณ์แต่ให้พิจารณาคดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป ก็อาจทำให้จำเลยเสียเปรียบ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2512/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีสัญญาประกันตัวผู้ต้องหา: สัญญาที่ทำกับพนักงานสอบสวนมีผลผูกพันโจทก์ผู้บังคับบัญชา
โจทก์ควบคุมตัว ส. ไว้ดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชนระหว่างสอบสวน โจทก์อนุญาตให้จำเลยประกันตัว ส. ไป โดยทำสัญญาประกันไว้กับโจทก์ว่า ถ้าผิดสัญญาจำเลยยอมชดใช้เงินจำนวน200,000 บาท โจทก์กำหนดให้จำเลยส่งตัว ส.4 ครั้ง จำเลยไม่เคยส่งตัว ส. เลย เป็นเวลานานถึง 2 ปีเศษ จำเลยก็ยังไม่สามารถส่งตัว ส. ผู้ต้องหาให้แก่โจทก์ ไม่ปรากฏว่าจำเลยขวนขวายติดตามตัวส.เพื่อนำมาส่งมอบให้แก่โจทก์แต่ประการใดประกอบกับส.ต้องหาว่าฉ้อโกงประชาชนเป็นจำนวนเงินถึง 190,000 บาทเศษ เมื่อไม่ได้ตัว ส.มาดำเนินคดีนอกจากส. จะไม่ต้องได้รับโทษแล้วผู้เสียหายก็ไม่มีโอกาสจะได้รับเงินคืนด้วย พฤติการณ์แห่งคดีไม่มีเหตุลดค่าปรับ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2478/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินโดยไม่สุจริต แม้เสียค่าตอบแทนและครอบครองนาน ก็ไม่ผูกพันเจ้าของที่แท้จริง
จำเลยที่ 1 นำเอาที่พิพาทของโจทก์ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เป็นชื่อของตน และโอนขายที่พิพาทไป 2 แปลงแก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอม ที่จำเลยที่ 2 ซื้อที่พิพาทดังกล่าวเท่ากับซื้อไปจากผู้ที่ไม่มีสิทธิจะขาย แม้จำลยที่ 2 จะซื้อด้วยความสุจริตเสียค่าตอบแทนและครอบครองที่พิพาทไว้ ก็ไม่ผูกพันโจทก์ผู้เป็นเจ้าของแท้จริงและจะครอบครองไว้นานสักเพียงใด ก็เป็นการครอบครองแทนโจทก์ผู้เป็นเจ้าของอยู่ตราบนั้น จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิในที่พิพาทดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2405/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่รับอุทธรณ์ และการเพิกเฉยต่อคำสั่งศาล ทำให้คำสั่งศาลเป็นที่สุด
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของโจทก์ว่าคดีโจทก์ไม่มีเหตุผลสมควรที่จะอุทธรณ์ ไม่อนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์อย่างคนอนาถา ถ้าโจทก์ประสงค์จะอุทธรณ์ให้นำค่าขึ้นศาลมาชำระภายในกำหนด ดังนี้ เท่ากับศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยเนื้อหาแห่งคำร้องของโจทก์แล้ว การที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวและศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับ โจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอ้างว่าโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายแล้วจึงเป็นการอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 มิใช่การอุทธรณ์ตามมาตรา 229 เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นคำสั่งศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามมาตรา 236 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เนื่องจากโจทก์ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์มาวางศาลภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ถือเป็นการเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174(2) และคำสั่งศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตามมาตรา 236 เช่นกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2392/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยผิดสัญญาขายฝาก ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายตามสมควร แม้โจทก์พิสูจน์ความเสียหายไม่ได้ทั้งหมด
จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แม้โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าได้รับความเสียหายตามจำนวนที่ฟ้อง ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าเสียหายได้ตามสมควร
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับเงิน 600,000 บาทและจดทะเบียนไถ่ถอนขายฝากที่ดินแก่โจทก์ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยรับการไถ่ถอนการขายฝากจากโจทก์ในจำนวนเงิน 600,000 บาท โดยกำหนดให้โจทก์วางเงินสินไถ่จำนวนดังกล่าวต่อศาลภายใน 30 วัน หาได้ไม่เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับเงิน 600,000 บาทและจดทะเบียนไถ่ถอนขายฝากที่ดินแก่โจทก์ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยรับการไถ่ถอนการขายฝากจากโจทก์ในจำนวนเงิน 600,000 บาท โดยกำหนดให้โจทก์วางเงินสินไถ่จำนวนดังกล่าวต่อศาลภายใน 30 วัน หาได้ไม่เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2392/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไถ่ถอนการขายฝาก: ศาลไม่ต้องสั่งวางเงินสินไถ่หากไม่ได้รับการขอจากคู่ความ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากที่ดินและรับเงินสินไถ่ โจทก์ชนะคดีศาลไม่จำเป็นที่จะต้องสั่งให้โจทก์วางเงินสินไถ่ต่อศาลภายในกำหนด เนื่องจากคู่ความมิได้ขอให้ศาลพิพากษาเช่นนั้น ซึ่งเป็นความประสงค์ของจำเลยที่เกินคำขอกรณีเช่นนี้เป็นเรื่องที่คู่ความจะต้องปฏิบัติในชั้นบังคับคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2392/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยผิดสัญญาขายฝาก ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายตามสมควร แม้โจทก์มิได้พิสูจน์ความเสียหายตามฟ้อง
จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้อง รับผิดใช้ ค่าเสียหายแก่โจทก์แม้โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าได้ รับความเสียหายตาม จำนวนที่ฟ้อง ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าเสียหายได้ตาม สมควร โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับเงิน 600,000 บาทและจดทะเบียนไถ่ถอนขายฝากที่ดินแก่โจทก์ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยรับการไถ่ถอนการขายฝากจากโจทก์ในจำนวนเงิน 600,000 บาท โดย กำหนดให้โจทก์วางเงินสินไถ่จำนวนดังกล่าวต่อ ศาลภายใน 30 วันหาได้ไม่เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอ.