คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุวรรณ ตระการพันธุ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 648 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 141/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชัดแจ้ง – จำเลยอุทธรณ์ไม่ตรงประเด็น – ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยฟังว่าจำเลยมีพฤติการณ์ส่อไปในทางประวิงคดีไม่สมควรให้เลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ แต่แทนที่จำเลยจะฎีกาว่าที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาดังกล่าวนั้นไม่ถูกต้องอย่างไรจำเลยกลับฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยและสัญญาเช่าอาคารพิพาทเป็นสัญญาเช่าพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง เพราะมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ทั้งยังเป็นฎีกาข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ด้วย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 117/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานที่ไม่เพียงพอต่อการลงโทษ จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านพยาน และขาดพยานหลักฐานยืนยันตัวบุคคล
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความในคดีนี้ คงมีแต่คำเบิกความของ ถ.กับก.ในคดีอื่นและคำให้การชั้นสอบสวนของถ. กับก. เป็นพยานประกอบ ซึ่งโจทก์มีสิทธิอ้างอิงเป็นพยานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 แต่คำเบิกความและคำให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าว จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านและเป็นพยานบอกเล่า แม้จะระบุถึงตำหนิรูปพรรณของคนร้ายที่ชื่อ ป.ก็ได้ความแต่เพียงว่า นาย ป. พักอาศัยอยู่บ้านพัสดีเรือนจำจังหวัดเท่านั้น ทั้งมิได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคน ๆ เดียวกับนายป.ดังกล่าวเมื่อโจทก์ไม่มีพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีอื่น จึงไม่อาจลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจเพิกถอนการบังคับคดีได้หากศาลชั้นต้นผิดพลาด
สิทธิในการบังคับคดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยไม่ถูกต้องศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนการบังคับคดีของศาลชั้นต้นเสียได้ สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมระบุว่า หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนเสาคอนกรีตและรั้วกำแพงเหล็กทึบที่สร้างรุกล้ำที่ดินของโจทก์ ทั้งไม่ยอมรื้อถอนสายไฟฟ้าแรงสูงที่ติดตั้งอยู่บนรั้วดังกล่าวให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยภายในกำหนดเวลาสองเดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์หรือบุคคลที่โจทก์จ้างมีสิทธิเข้าไปรื้อถอนสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นได้โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และจำเลยยินยอมให้โจทก์บังคับคดีตามคำขอท้ายฟ้องได้ดังนั้น ถ้าจำเลยผิดนัดไม่ยอมรื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่จะต้องรื้อถอนให้เสร็จภายในกำหนดสองเดือนนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความนอกจากโจทก์จะมีสิทธิรื้อถอนสิ่งก่อสร้างนั้นเองหรือจ้างให้บุคคลอื่นเข้าไปรื้อถอนโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยแล้ว โจทก์ยังมีสิทธิบังคับคดีตามคำขอท้ายฟ้องโดยโจทก์ไม่จำต้องเข้าไปรื้อถอนหรือจ้างให้บุคคลอื่นเข้าไปรื้อถอนสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นก่อนจึงจะขอบังคับคดีได้ เพราะข้อความเกี่ยวกับเรื่องรื้อถอนสิ่งก่อสร้างกับข้อความเกี่ยวกับการที่โจทก์จะขอบังคับคดีตามคำขอท้ายฟ้องเป็นข้อความคนละตอน สามารถแยกใจความคนละส่วนต่างหากจากกันได้ โจทก์ร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีอ้างว่าจำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอมซึ่งหมายถึงว่า จำเลยไม่ดำเนินการรื้อถอนเสาคอนกรีต รั้วกำแพงทึบที่สร้างรุกล้ำที่ดินของโจทก์ รวมทั้งไม่ได้รื้อถอนสายไฟฟ้าแรงสูงที่ติดตั้งอยู่บนรั้วดังกล่าวด้วย ศาลอุทธรณ์ย่อมชอบที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า สิ่งก่อสร้างทั้งหมดจำเลยยังไม่ได้รื้อถอนออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและชอบที่จะยกเอาเหตุผลดังกล่าวประกอบการวินิจฉัยการวินิจฉัยได้ว่าใครเป็นฝ่ายผิดสัญญาอันเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ หาเป็นการวินิจฉัยคดีนอกฟ้องนอกประเด็นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาแบ่งทรัพย์สินระหว่างหย่าเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ไม่ต้องจดทะเบียน
การยกให้โดยเสน่หาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ที่จะตกอยู่ในบังคับของมาตรา 525 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามนัยมาตรา 521 นั้นจะต้องมีคู่สัญญา 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือผู้ให้ โอนทรัพย์สินของตนให้โดยเสน่หาแก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรืออีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้รับแต่บันทึกข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์และจำเลย โจทก์และจำเลยกลับยอมให้ที่ดินจำนวน 2 แปลงและบ้านอีก 1 หลังตกเป็นของบุตรผู้เยาว์ทั้งสองหลังจากโจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่ากัน สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1532 และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามมาตรา 374 มิใช่สัญญาให้ จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของมาตรา 525 แม้ไม่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาแบ่งทรัพย์สินหลังหย่าเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ไม่ต้องจดทะเบียนตามมาตรา 525
การยกให้โดยเสน่หาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ที่จะตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ที่จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 521 จะต้องมีคู่สัญญา 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือผู้ให้โอนทรัพย์สินของตนให้โดยเสน่หาแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง หรืออีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้รับ บันทึกข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินหลังทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์และจำเลย นอกจากโจทก์และจำเลยเป็นคู่สัญญาซึ่งกันและกันแล้วยังมีบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นผู้รับประโยชน์แห่งสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยด้วย คือ แทนที่โจทก์และจำเลยจะแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาด้วยกันเอง โจทก์และจำเลยกลับยอมให้ที่ดินจำนวน 2 แปลง และบ้านอีก 1 หลัง ตกเป็นของผู้เยาว์ทั้งสองหลังจากโจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่ากัน สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์ระหว่างสามีภรรยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1532 และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 มิใช่สัญญาให้ จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 แม้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยผิดสัญญา โจทก์ในฐานะคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 36/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินยกให้ก่อนสมรส ไม่ใช่สินสมรส จำเลยสำคัญผิดในนิติกรรม
เมื่อจำเลยและนาง ต.มิได้จดทะเบียนสมรสกัน ที่ดินพิพาทที่นาง ต.ได้รับการยกให้จากพี่ชายในระหว่างที่อยู่กินด้วยกันกับจำเลย จึงบังคับตามบทบัญญัติเรื่องทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาไม่ได้ และที่ดินพิพาทดังกล่าวนาง ต.ได้รับการยกให้ฝ่ายเดียว จึงมิใช่ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ด้วยกันกับจำเลย อันจะแบ่งในฐานะหุ้นส่วนครึ่งหนึ่งดังที่โจทก์อ้าง จำเลยจึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเลยการที่จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวกับโจทก์จึงเป็นกรณีที่จำเลยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5621/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดค่าภาษีโรงเรือนที่มีเครื่องจักรกล: การประเมินต้องรวมค่าทรัพย์สินและส่วนควบ หากไม่สำแดงค่าเช่าเครื่องจักร การประเมินค่าโรงเรือนอย่างเดียวชอบแล้ว
การลดค่ารายปีลงเหลือหนึ่งในสามตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน จะต้องลดจากค่ารายปีของทรัพย์สินและของส่วนควบรวมกัน มิใช่เฉพาะค่ารายปีของทรัพย์สินนั้นเท่านั้น ในการยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินโจทก์มิได้กรอกค่าเช่าของเครื่องจักรที่พิพาทลงในแบบ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงประเมินค่ารายปีเฉพาะตัวอาคารโรงเรือนเท่านั้น จึงมิใช่กรณีที่จะต้องลดค่ารายปีลงเหลือหนึ่งในสามตามพระราชบัญญัติ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 13การประเมินค่าภาษีของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5620/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน: หลักเกณฑ์การเปรียบเทียบค่ารายปีและเครื่องจักรในโรงงาน
การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้กำหนดค่ารายปีของโรงเรือนและที่ดินของโจทก์โดยเทียบกับค่ารายปีของโรงเรือนและที่ดินของบริษัท บ. และของบริษัท ป. มาเป็นหลักสำหรับการคำนวณค่าภาษีในปีพิพาทนี้ด้วยนั้น เมื่อปรากฏว่าโรงเรือนและที่ดินของบริษัท บ.และบริษัท ป. อยู่ติดถนนใหญ่ทำเลและการคมนาคมสะดวกกว่าโรงเรือนและที่ดินของโจทก์ แม้ค่ารายปีของโจทก์ที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดจะต่ำกว่าค่ารายปีของบริษัท บ. ก็ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบว่าค่ารายปีของโจทก์เป็นค่ารายปีที่สมควรหรือไม่
แม้ค่ารายปีที่โจทก์นำมาเป็นหลักในการคำนวณนี้ จะมิใช่เป็นค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วนั้น ดังที่ พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475มาตรา 18 กำหนดให้นำมาเป็นหลักสำหรับการคำนวณค่าภาษีซึ่งจะต้องเสียในปีต่อมาก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้เพิ่มค่ารายปีตามภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากปีดังกล่าวมาถึงปีพิพาทนี้ และเป็นค่ารายปีที่ยุติแล้ว ส่วนค่ารายปีของปีที่ล่วงมาแล้วซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยนำมาเป็นหลักสำหรับการคำนวณภาษีนั้นเป็นค่ารายปีที่โจทก์ยังไม่พอใจ โดยโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่อยู่จึงเป็นค่ารายปีที่ยังไม่ยุติ ไม่อาจนำมาเป็นหลักในการคำนวณภาษีที่จะต้องเสียในปีพิพาทนี้ได้ ดังนี้ค่ารายปีที่โจทก์นำมาเป็นหลักในการคำนวณจึงเป็นค่ารายปีที่สมควรกว่า
แม้เครื่องจักรจะมีไว้เพื่อซ่อมเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้ามิใช่มีไว้เพื่อผลิตสินค้า แต่ก็เป็นเครื่องจักรที่ติดตั้งไว้ในโรงเรือนยากที่จะขนย้ายได้ ต้องถอดออกเป็นชิ้นจึงจะขนย้ายได้ เป็นการติดตั้งไว้ในลักษณะถาวรมีลักษณะเป็นส่วนควบที่สำคัญของโรงเรือน จึงเป็นเครื่องจักรที่มีไว้เพื่อใช้ดำเนินการอุตสาหกรรมขึ้นในโรงเรือนนั้น ๆ ต้องลดค่ารายปีลงเหลือ 1 ใน 3 ตามพ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน มาตรา 13
จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นเพียงผู้ชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินของโจทก์ซึ่งเป็นการกระทำตามหน้าที่เท่านั้น มิได้ร่วมรับชำระเงินค่าภาษีด้วย จึงไม่ต้องร่วมคืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5542/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดพิกัดอัตราศุลกากรสำหรับเครื่องล้างหัวเทปวีดีโอที่ไม่เข้าข่ายผ้าหรือวัตถุทอ
สินค้าที่โจทก์นำเข้าไปเป็นเครื่องล้างหัวเทปวีดีโอซึ่งเป็นสินค้าสำเร็จรูปอย่างหนึ่ง ประกอบด้วยตัวกล่องที่ทำด้วยพลาสติก คงมีเฉพาะส่วนที่สำหรับขัดถูหัวเทปเท่านั้นที่มีลักษณะเป็นผ้า และเครื่องดังกล่าวนี้คงใช้สำหรับเครื่องวีดีโอเท่านั้น จึงไม่ใช้สินค้าตามพิกัดประเภทที่ 59.17เพราะมิใช่เป็นผ้าหรือของที่ทำด้วยวัตถุทอ และมิใช่ชนิดที่ตามธรรมดาใช้กับเครื่องกลจักรหรือใช้ในโรงงานสำหรับประเภทพิกัดที่ 62.05 ตามที่จำเลยประเมินนั้นบัญญัติว่าของสำเร็จรูปอย่างอื่นที่ทำด้วยวัตถุทอ รวมทั้งผ้าแบบเสื่อซึ่งน่าจะได้แก่วัตถุทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ดังนั้นจึงไม่เข้าพิกัดประเภท 62.05 และกรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์ของการตีความพิกัดอัตราศุลกากร ข้อที่ 5 เพราะมิใช่ของซึ่งใกล้เคียงกับของตามพิกัดที่จำเลยประเมิน แต่น่าจะถือได้ว่าใกล้เคียงกับประเภทพิกัดที่ 92.13 มากกว่าการประเมินอากรขาเข้าของจำเลยจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5542/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความพิกัดอัตราศุลกากร: สินค้าสำเร็จรูปจากผ้าใช้กับเครื่องจักร ไม่เข้าพิกัดผ้าโดยตรง
เครื่องล้างหัวเทปวีดีโอเป็นสินค้าสำเร็จรูปอย่างหนึ่งประกอบด้วยตัวกล่องที่ทำด้วยพลาสติก คงมีเฉพาะส่วนที่สำหรับขัดถูหัวเทปที่มีลักษณะเป็นผ้าและเครื่องดังกล่าวใช้สำหรับเครื่องวีดีโอเท่านั้น จึงมิใช่สินค้าตามพิกัดประเภทที่ 59.17 เพราะมิใช่เป็นผ้าหรือของที่ทำด้วยวัตถุทอและมิใช่ชนิดที่ตามธรรมดาใช้กับเครื่องกลจักรหรือใช้ในโรงงาน อีกทั้งมิใช่สินค้าตามพิกัดประเภทที่ 62.05 ซึ่งได้แก่วัตถุทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อที่ 5ถือได้ว่าสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ใกล้เคียงกับประเภทพิกัดที่ 62.13
of 65