คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุวรรณ ตระการพันธุ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 648 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4388/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายทอดตลาดบังคับคดี: การคัดค้านการรวมขายและการซื้อโดยธนาคาร
ในวันขายทอดตลาดจำเลยได้มาดูแลการขายและได้คัดค้าน การรวมขายที่ดินแล้ว แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่บันทึกไว้และบอกให้ไปร้องขอต่อศาลเอง เท่ากับว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยอมปฏิบัติตามคำคัดค้านของจำเลย จำเลยจะต้องไปยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งชี้ขาดเสียภายใน 2 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิเสธคำคัดค้านของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 วรรคท้ายเมื่อจำเลยมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลภายในกำหนดเวลาดังกล่าวจำเลยจะยกเป็นเหตุคัดค้านภายหลังไม่ได้ โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ ย่อมมีสิทธิซื้อที่ดินซึ่ง จำนองเป็นประกันหนี้ไว้ต่อโจทก์จากการขายทอดตลาดโดย คำสั่งศาลเพื่อชำระหนี้โจทก์ได้ ตามพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 มาตรา 12(4)(ข) การที่โจทก์ ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดเป็นการซื้อทรัพย์จำนองเป็นประกัน หนี้ที่จำเลยมีต่อโจทก์ และเป็นการขายทอดตลาดโดยคำสั่งศาลจึงเป็นการซื้อโดยชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4356/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกคืนภาษีอากรต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก่อน แม้จะถูกแจ้งให้แก้ราคาสินค้า
จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า โจทก์มิได้มอบอำนาจให้ดำเนินคดีแก่จำเลย หนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นจำเลยมิได้ต่อสู้โดยตรงว่า โจทก์มิได้มอบอำนาจให้ฟ้องคดีตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเลขที่... ที่ศาลภาษีอากรกลางอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเลขที่ใบขนสินค้าในหนังสือมอบอำนาจซึ่งเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยในรายละเอียดจึงไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ แม้การแก้ราคาสินค้าและจำนวนเงินภาษีอากรที่ต้องชำระในใบขนสินค้ากับใบกำกับสินค้าให้สูงขึ้นจากเดิมจะเป็นการกระทำของโจทก์เองมิใช่เป็นการกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยก็ตาม แต่การแก้ดังกล่าวก็เป็นการแก้ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยแจ้งให้โจทก์กระทำ หากโจทก์ไม่แก้ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยก็คงไม่ตรวจปล่อยสินค้าพิพาทจากอารักขามอบให้โจทก์ไป ทั้งโจทก์ก็ได้สงวนสิทธิโต้แย้งราคาสินค้าในส่วนที่เพิ่มขึ้นไว้ที่หลังใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าว แสดงว่าโจทก์มิได้แก้ราคาสินค้าและจำนวนเงินภาษีอากรด้วยความสมัครใจหรือเห็นด้วยกับความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย การยอมแก้ดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นการแก้ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ประเมินแล้ว เมื่อโจทก์ได้ชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลตามการประเมินนั้นแล้วมาอ้างว่าได้ชำระเกินกว่าที่จะต้องเสียตามกฎหมาย ขอเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินภาษีอากรดังกล่าวให้อันเป็นการโต้แย้งผลการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย โจทก์จึงต้องอุทธรณ์คัดค้านต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้วินิจฉัยเสียก่อนว่าโจทก์เสียภาษีอากรไว้เกินกว่าที่จะต้องเสียตามกฎหมายหรือไม่ เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยและมีคำสั่งแล้ว โจทก์จึงจะอุทธรณ์ต่อศาลหรือนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้ตามที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 30 บัญญัติไว้ แต่โจทก์มิได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลเกี่ยวกับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4356/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินราคาศุลกากรที่มิชอบและการฟ้องเรียกคืนภาษีอากร จำเป็นต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก่อน
โจทก์นำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นเที่ยวแรกและเที่ยวที่สองเรียกว่าคอมเบิลเพลทส่วนเที่ยวที่สามเรียกว่ารีรอยเลเบิล สต๊อก เพลทเป็นสินค้าที่มีลักษณะแตกต่างกันจึงควรมีราคาไม่เท่ากัน ดังนั้นราคาแท้จริงในท้องตลาดจึงเป็นราคาที่โจทก์ได้สำแดงไว้แต่แรกการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยกำหนดให้มีราคาเท่ากันจึงมิชอบ การที่โจทก์แก้ราคาสินค้าและจำนวนเงินภาษีอากรในใบขนสินค้ากับใบกำกับสินค้าให้สูงขึ้นตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยแจ้งให้โจทก์แก้ แต่โจทก์ได้สงวนสิทธิ์โต้แย้งราคาสินค้าในส่วนที่เพิ่มขึ้นไว้ แสดงว่าโจทก์มิได้แก้ราคาสินค้าและจำนวนเงินภาษีอากรด้วยความสมัครใจ การยอมแก้ดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นการแก้ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ประเมินแล้ว เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเสียก่อน จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4343/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา: การอุทธรณ์และการสิ้นสุดของสิทธิในการฎีกาตามมาตรา 267 วรรคสอง
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำขอของจำเลยที่ให้ยกเลิกคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ได้รับการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในเหตุฉุกเฉินนั้นเป็นคำสั่ง อันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้แต่เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกเลิกคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นแล้วคำสั่งเช่นนี้ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 267 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4332/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับโอนหุ้นเพื่อชำระหนี้ขัดต่อกฎหมายบริษัทจำกัด หนี้ไม่ระงับ
การที่จำเลยโอนหุ้นของบริษัทโจทก์เพื่อชำระหนี้ให้แก่บริษัทโจทก์ โดยวิธีสลักหลังลอยส่งมอบใบหุ้นแก่บริษัทโจทก์ ก็มีผลเท่ากับว่าบริษัทโจทก์รับเอาหุ้นของบริษัทโจทก์ไว้เป็นประกันนั่นเองอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1143 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ห้ามบริษัทจำกัดรับจำนำหุ้นของตนเอง เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 113(มาตรา 151 ที่แก้ไขใหม่)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4293/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คพิพาท: การพิสูจน์การชำระหนี้บางส่วน, อายุความ, และการยกข้อต่อสู้ใหม่
เช็คพิพาทสั่งจ่ายเงินจำนวน 180,000 บาท จำเลยอ้างว่าได้ชำระเงินแล้ว 80,000 บาท จำเลยจึงมีภาระการพิสูจน์ เช็คพิพาทลงวันที่สั่งจ่ายวันที่ 4 มกราคม 2530 ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2530 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังเมื่อวันที่ 6มีนาคม 2530 จึงเป็นการฟ้องคดีภายในกำหนดอายุความ 1 ปี แล้ว จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้สลักหลังเช็คพิพาทเพื่อค้ำประกันจำเลยที่ 1 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าจำเลยที่ 3 มีวัตถุประสงค์ในการสลักหลังเช็คพิพาทเป็นประกันจำเลยที่ 1 กู้เงินบริษัทธ.เท่านั้น จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4288/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คพิพาทจากหนี้การพนัน: ผู้ทรงเช็คสุจริตไม่ต้องรับผลกระทบจากข้อพิพาทภายในระหว่างจำเลย
แม้เช็คพิพาทจะมีมูลหนี้จากการพนันระหว่างจำเลยทั้งสองก็ตามแต่ก็เป็นข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันระหว่างจำเลยทั้งสองหาอาจยกเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้ทรงโดยสุจริตได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 ประกอบมาตรา 989

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4249/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องสัญญาจ้างทำของ แม้ผู้ลงนามไม่ใช่ผู้มีอำนาจเต็มรูป หากอีกฝ่ายทราบและรับประโยชน์ ย่อมถือเป็นคู่สัญญา
จ. กรรมการผู้มีอำนาจคนหนึ่งของบริษัทโจทก์ลงลายมือชื่อทำสัญญาจ้างจำเลยทั้งสองติดตั้งเครื่องทำน้ำเย็นให้แก่โจทก์แม้ไม่ได้ร่วมกับกรรมการอื่นและไม่ได้ประทับตราของโจทก์เป็นสำคัญก็ตาม แต่จำเลยทั้งสองถือเอาประโยชน์จากการว่าจ้างโดยรับเงินค่าจ้างไปแล้วบางส่วน และเข้าดำเนินการติดตั้งเครื่องทำน้ำเย็นณ อาคารที่ทำการของโจทก์แล้วบางส่วน พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองเข้าไปดำเนินการที่รับจ้างในที่ทำการของโจทก์หลายเดือน จำเลยทั้งสองน่าจะรู้ดีว่าผู้ว่าจ้างคือโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ได้ทักท้วงหรือโต้แย้งถึงการที่ จ. เพียงคนเดียวลงลายมือชื่อในสัญญาจ้างทำของ เท่ากับจำเลยทั้งสองรับว่า จ. ทำสัญญาแทนโจทก์โจทก์จึงเป็นคู่สัญญากับจำเลยทั้งสอง และมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4247/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์, การรังวัดที่ดิน, และอำนาจฟ้อง: ศาลฎีกาตัดสินคดีพิพาทที่ดิน
ศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่ของที่ดินพิพาทไว้เพราะจำเลยได้ให้การยอมรับว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 7 ตารางวา ฎีกาของจำเลยเกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่ของที่ดินพิพาทจึงเป็นเรื่องที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้รับความยินยอมจากสามีให้ฟ้องคดีนั้น แม้ศาลอุทธรณ์จะไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นนี้ให้เพราะศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่เป็นสาระแก่คดีก็ตามแต่ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยทั้งสองต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ ปัญหาดังกล่าวเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลฎีการับวินิจฉัยให้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นนี้ใหม่ การถมดินในที่ดินพิพาทเป็นเพียงการเตรียมการก่อสร้างบ้านและรั้วคอนกรีตเท่านั้น จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองที่ดินพิพาท เพราะเป็นการที่โจทก์และจำเลยร่วมกันถมดินทั้งแปลงใหญ่ และเมื่อจำเลยยังไม่ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทเป็นสัดส่วน ระยะเวลาเริ่มต้นแห่งการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจึงไม่เริ่มนับ แต่ต้องเริ่มนับตั้งแต่จำเลยสร้างบ้านรุกล้ำและล้อมรั้วเพื่อแสดงแนวเขตที่แน่นอนในที่ดินพิพาท และเมื่อนับถึงวันฟ้องยังไม่ครบ 10 ปี จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4202/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้จัดการสหกรณ์ต่อการขาดหายของทรัพย์สิน แม้ไม่มีสัญญาจ้างและผู้ค้ำประกัน
โจทก์ได้บรรยายฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่1 เมษายน 2527 ถึง 7 สิงหาคม 2528 จำเลยเป็นผู้จัดการร้านสหกรณ์โจทก์ มีหน้าที่ควบคุมรับผิดชอบดูแลและจัดการทรัพย์สินของโจทก์ และภายในระยะเวลาดังกล่าวสินค้าและเงินสดได้ขาดหายไปจากบัญชีของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยจะต้องรับผิดชอบชดใช้ราคาสินค้าและเงินสดที่หายไปแก่โจทก์ ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ได้แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสองแล้ว ส่วนรายละเอียดว่าสินค้าและเงินสดที่ขาดบัญชีไปมีอะไรบ้าง อย่างไหน จำนวนและราคาเท่าไร ตั้งแต่เมื่อใด และอยู่ในความครอบครองของผู้ใด เป็นเรื่องที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ จำเลยทำให้เงินสดและสินค้าขาดหายไปจากบัญชีโจทก์แม้จำเลยเป็นเพียงผู้จัดการชั่วคราวของโจทก์ แต่จำเลยได้รับประโยชน์ตอบแทนโดยการรับเงินเดือนเป็นรายเดือนจากโจทก์จำเลยจึงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในกิจการของโจทก์ตามข้อบังคับ การที่โจทก์ไม่ได้ทำสัญญาจ้างจำเลยเป็นผู้จัดการและไม่มีผู้ค้ำประกันการเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการของจำเลย หาทำให้จำเลยพ้นความรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ไม่
of 65