คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุวรรณ ตระการพันธุ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 648 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3734/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีสัญญาต่างตอบแทนหลังเจ้ามรดกเสียชีวิต: ไม่ใช่อายุความเรียกร้องต่อเจ้ามรดก
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นทายาทผู้รับมรดกให้ปฏิบัติตามสัญญาต่างตอบแทนที่โจทก์ทำไว้กับเจ้ามรดก มิใช่ฟ้องอ้างว่าเจ้ามรดกผิดสัญญาอันเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องที่มีต่อเจ้ามรดกจึงนำอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคสาม มาใช้บังคับไม่ได้ โจทก์ไม่ต้องใช้สิทธิฟ้องร้องภายใน 1 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3271/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อยกเว้น พ.ร.บ.ขนส่งทางบก: รถยนต์ส่วนบุคคลน้ำหนักไม่เกิน 1.6 ตัน ไม่ต้องขออนุญาตประกอบการขนส่ง
พ.ร.บ. การขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 5 ซึ่งแก้ไขโดย(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2523 มาตรา 4 กำหนดให้รถยนต์ส่วนบุคคลที่มีน้ำหนักรถไม่เกินหนึ่งพันหกร้อยกิโลกรัม ไม่ต้องถูกควบคุมตาม พ.ร.บ.การขนส่งทางบกฯ เมื่อรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลที่จำเลยใช้บรรทุกขนส่งคนโดยสารมีน้ำหนักรถไม่เกินหนึ่งพันหกร้อยกิโลกรัม จึงเป็นรถที่ไม่อยู่ในบังคับของ พ.ร.บ. ดังกล่าว แม้จำเลยจะนำรถคันนั้นมาประกอบการขนส่งประจำทางบรรทุกคนโดยสารเพื่อสินจ้างโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. การขนส่งทางบกฯ มาตรา 23 ประกอบด้วยมาตรา 126.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3263/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผลิตวัตถุมีพิษปลอมและการกำหนดโทษที่ถูกต้องตามกฎหมาย
การกระทำของจำเลยตามฟ้องข้อ ข. เป็นการผลิตยากำจัดวัชพืชมีวัตถุทางเคมีอันเป็นวัตถุมีพิษธรรมดาเจือปน เพื่อการค้าอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. วัตถุมีพิษฯ มาตรา 11,36 ส่วนตามฟ้องข้อ ค.เป็นการผลิตยาฆ่าปู มีวัตถุทางเคมีอันเป็นวัตถุมีพิษร้ายแรงเจือปนเพื่อการค้าอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. วัตถุมีพิษฯ มาตรา12,37 การกระทำความผิดในฟ้องทั้งสองข้อดังกล่าวเป็นการผลิตวัตถุมีพิษต่างชนิดกัน กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ต่างบทมาตรากัน ความผิด 2 ฐานนี้จึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน การที่จำเลยผลิตยากำจัดวัชพืชมีวัตถุทางเคมีอันเป็นวัตถุมีพิษธรรมดาเจือปนเพื่อการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาตและผลิตวัตถุมีพิษธรรมดาดังกล่าวปลอมโดยได้แสดงชื่อ หรือเครื่องหมายของผู้ผลิตหรือที่ตั้งของสถานที่ผลิตซึ่งมิใช่ความจริงนั้น เป็นกรณีที่จำเลยผลิตวัตถุมีพิษธรรมดาชนิดเดียวกันปลอมโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเป็นกรรมเดียวกันผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดคือตาม พ.ร.บ. วัตถุมีพิษฯ มาตรา13 ตรี(1),13 จัตวา(3),38 ตรี ลงโทษแก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 90ส่วนที่จำเลยผลิตยาฆ่าปูมีวัตถุทางเคมีอันเป็นวัตถุมีพิษร้ายแรงเจือปนเพื่อการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาต และผลิตวัตถุมีพิษร้ายแรงดังกล่าวปลอม โดยได้แสดงชื่อ หรือเครื่องหมายของผู้ผลิตหรือที่ตั้งของสถานที่ผลิตซึ่งมิใช่เป็นความจริงนั้น เป็นกรณีที่จำเลยผลิตวัตถุมีพิษร้ายแรงชนิดเดียวกันปลอมโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเป็นกรรมเดียวกันผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด คือ ตาม พ.ร.บ. วัตถุมีพิษฯ มาตรา 13 ตรี(1),13 จัตวา(3),38 ตรี ลงโทษแก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 90.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3263/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้าและผลิตวัตถุมีพิษโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงการปลอมแปลงข้อมูลผู้ผลิต
จำเลยเป็นผู้สั่งทำถุงพลาสติกของกลางที่มีเครื่องหมายการค้าอันได้จดทะเบียนไว้แล้วของบริษัทผู้เสียหาย แม้จำเลยจะไม่ได้เป็นผู้ทำถุงพลาสติกของปลอมขึ้นด้วยตนเอง แต่การที่จำเลยสั่งให้ผู้อื่นเป็นผู้จัดทำของปลอมนั้นขึ้น จำเลยก็มีความผิดในข้อหาปลอมเครื่องหมายการค้าแล้ว และเป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่จำเลยจัดให้มีการปลอมเครื่องหมายการค้าของบริษัทผู้เสียหาย
จำเลยผลิตยากำจัดวัชพืช มีวัตถุทางเคมีอันเป็นวัตถุมีพิษธรรมดาเจือปนเพื่อการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุมีพิษ พ.ศ. 2510 มาตรา 11, 36 และผลิตยาฆ่าปูมีวัตถุทางเคมีอันเป็นวัตถุมีพิษร้ายแรงเจือปนเพื่อการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุมีพิษพ.ศ. 2510 มาตรา 12, 37 เป็นการผลิตวัตถุมีพิษต่างชนิดกันคือเป็นวัตถุมีพิษธรรมดากับวัตถุมีพิษร้ายแรง กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ต่างบทมาตรากัน ความผิดสองฐานนี้จึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน
จำเลยผลิตยากำจัดวัชพืชมีวัตถุทางเคมีอันเป็นวัตถุมีพิษธรรมดาเจือปนเพื่อการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต และผลิตวัตถุมีพิษธรรมดาดังกล่าวปลอมโดยได้แสดงชื่อหรือเครื่องหมายของผู้ผลิตหรือที่ตั้งของสถานที่ผลิตซึ่งมิใช่เป็นความจริงนั้นเป็นกรณีที่จำเลยผลิตวัตถุมีพิษธรรมดาชนิดเดียวกันปลอมโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเป็นกรรมเดียวกันผิดต่อกฎหมายหลายบท ส่วนที่จำเลยผลิตยาฆ่าปู มีวัตถุทางเคมีอันเป็นวัตถุมีพิษร้ายแรงเจือปนเพื่อการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต และผลิตวัตถุมีพิษร้ายแรงดังกล่าวปลอมโดยได้แสดงชื่อหรือเครื่องหมายของผู้ผลิตหรือที่ตั้งของสถานที่ผลิตซึ่งมิใช่เป็นความจริง เป็นกรณีที่จำเลยผลิตวัตถุมีพิษร้ายแรงชนิดเดียวกันปลอมโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเป็นกรรมเดียวกันผิดต่อกฎหมายหลายบท.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3263/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้า และผลิตวัตถุมีพิษปลอมโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยเป็นผู้สั่งทำถุงพลาสติกของกลางที่มีเครื่องหมายการค้าอันได้จดทะเบียนไว้แล้วของบริษัทผู้เสียหาย แม้จำเลยจะไม่ได้เป็นผู้ทำถุงพลาสติกของปลอมขึ้นด้วยตนเอง แต่การที่จำเลยสั่งให้ผู้อื่นเป็นผู้จัดทำของปลอมนั้นขึ้น จำเลยก็มีความผิดในข้อหาปลอมเครื่องหมายการค้าแล้ว และเป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่จำเลยจัดให้มีการปลอมเครื่องหมายการค้าของบริษัทผู้เสียหาย จำเลยผลิตยากำจัดวัชพืช มีวัตถุทางเคมีอันเป็นวัตถุมีพิษธรรมดาเจือปนเพื่อการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุมีพิษ พ.ศ. 2510 มาตรา 11,36 และผลิตยาฆ่าปูมีวัตถุทางเคมีอันเป็นวัตถุมีพิษร้ายแรงเจือปนเพื่อการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุมีพิษพ.ศ. 2510 มาตรา 12,37 เป็นการผลิตวัตถุมีพิษต่างชนิดกันคือเป็นวัตถุมีพิษธรรมดากับวัตถุมีพิษร้ายแรง กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ต่างบทมาตรากัน ความผิดสองฐานนี้จึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน จำเลยผลิตยากำจัดวัชพืชมีวัตถุทางเคมีอันเป็นวัตถุมีพิษธรรมดาเจือปนเพื่อการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต และผลิตวัตถุมีพิษธรรมดาดังกล่าวปลอมโดยได้แสดงชื่อหรือเครื่องหมายของผู้ผลิตหรือที่ตั้งของสถานที่ผลิตซึ่งมิใช่เป็นความจริงนั้นเป็นกรณีที่จำเลยผลิตวัตถุมีพิษธรรมดาชนิดเดียวกันปลอมโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเป็นกรรมเดียวกันผิดต่อกฎหมายหลายบท ส่วนที่จำเลยผลิตยาฆ่าปู มีวัตถุทางเคมีอันเป็นวัตถุมีพิษร้ายแรงเจือปนเพื่อการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต และผลิตวัตถุมีพิษร้ายแรงดังกล่าวปลอมโดยได้แสดงชื่อหรือเครื่องหมายของผู้ผลิตหรือที่ตั้งของสถานที่ผลิตซึ่งมิใช่เป็นความจริง เป็นกรณีที่จำเลยผลิตวัตถุมีพิษร้ายแรงชนิดเดียวกันปลอมโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเป็นกรรมเดียวกันผิดต่อกฎหมายหลายบท.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3181/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์อ้อยกับที่ดิน: อ้อยเป็นไม้ล้มลุก ไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน แม้ขายที่ดิน กรรมสิทธิ์อ้อยยังเป็นของผู้ปลูก
ต้นอ้อยเป็นไม้ล้มลุก ไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน เมื่อจำเลยเป็นผู้ปลูกกรรมสิทธิ์ในต้นอ้อยจึงเป็นของจำเลย สัญญาซื้อขายที่ดินไม่มีข้อความระบุว่าได้ขายต้นอ้อยในที่ดินนั้นแก่ผู้เสียหายข้อตกลงซึ่งทำไว้กับพนักงานสอบสวนว่า จะไปแบ่งแยกที่ดินกันหลังฤดูหีบอ้อยก็ดีและยอมให้ตอ อ้อยตกเป็นของผู้เสียหายก็ดี แสดงให้เห็นว่าการซื้อขายที่ดินน่าจะไม่รวมถึงการขายต้นอ้อยในที่ดินดังกล่าวด้วย การขายที่ดินย่อมไม่มีผลให้กรรมสิทธิ์ในต้นอ้อยโอนไปเป็นของผู้เสียหายแต่อย่างใด เมื่อจำเลยตัดต้นอ้อยดังกล่าวไปจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2350/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญาป่าไม้: การบรรยายฟ้องประกาศและพระราชกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้ามพ.ศ. 2530 กำหนดให้ไม้ตะเคียนหินในป่าท้องที่ทุกจังหวัดเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรได้ออกประกาศให้กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตลอดเขตท้องที่ทุกจังหวัดดังปรากฏรายละเอียดตามสำเนาประกาศท้ายฟ้อง พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศแล้ว ในสำเนาประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องนั้น ปรากฏว่าประกาศดังกล่าวได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว กรณีจึงเท่ากับว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าประกาศนั้นได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษามาพ้นเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศตาม มาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ และเมื่อตามฟ้องของโจทก์ฟังได้ว่าพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษามาพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศแล้วพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวย่อมมีผลใช้บังคับได้เป็นกฎหมายในขณะที่จำเลยกระทำความผิด แม้โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาพร้อมกับฟ้อง ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์แต่ประการใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2350/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีป่าไม้: การพิสูจน์การมีผลใช้บังคับของกฎหมายและประกาศ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ได้ มีพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้ามพ.ศ. 2530 กำหนดให้ไม้ตะเคียน หินในป่าท้องที่ทุกจังหวัดเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรได้ ออกประกาศให้กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตลอด เขตท้องที่ทุกจังหวัดดัง ปรากฏรายละเอียดตาม สำเนาประกาศท้ายฟ้อง พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวได้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาพ้นกำหนดเก้า สิบวันนับแต่วันประกาศแล้ว ในสำเนาประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องซึ่งถือ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องนั้น ปรากฏว่าประกาศดังกล่าวได้ ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว กรณีจึงเท่ากับว่าโจทก์ได้ บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าประกาศนั้นได้ มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษามาพ้นเก้า สิบวันนับแต่วันประกาศตาม มาตรา 47แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ และเมื่อตาม ฟ้องของโจทก์ฟังได้ว่าพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530 ได้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษามาพ้นกำหนดเก้า สิบวันนับแต่วันประกาศแล้วพระราชกฤษฎีกาฉบับ ดังกล่าวย่อมมีผลใช้ บังคับได้ เป็นกฎหมายในขณะที่จำเลยกระทำความผิด แม้โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาพร้อมกับฟ้อง ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์แต่ประการใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2049/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพนันสลากกินรวบเป็นอบายมุข ศาลฎีกาไม่รอการลงโทษจำคุก แม้มีภาระเลี้ยงดูบุตร แต่ไม่สั่งจ่ายสินบนนำจับหากไม่มีโทษปรับ
การพนันสลากกินรวบเป็นสิ่งที่มอมเมาประชาชน และเป็นอบายมุขที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจของชาติบ้านเมืองสมควรแก่การกำราบปราบปรามมิให้มีการเล่นอีกต่อไป เจ้าพนักงานจับจำเลยได้ พร้อมด้วย สมุด จดหมายเลขสลากกินรวบ 2 เล่ม แต่ ละเล่มจดรายการเล่นการพนันดังกล่าวหลายรายการ ถือ ไม่ ได้ ว่าจำเลยเป็นผู้เล่นรายย่อย จึงยังไม่สมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกจำเลย เมื่อศาลไม่ได้ลงโทษปรับจำเลย จึงไม่อาจสั่งให้จำเลยจ่ายสินบนนำจับได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2047/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน: ความประมาทในการขับรถ vs. ละเลยไม่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
รถยนต์ชนกันเป็นเหตุให้มีคนตายและได้รับอันตรายสาหัสเกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลย การที่จำเลยได้หลบหนีไปทันทีหลังเกิดเหตุโดยไม่ให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ ไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีนั้น เป็นการกระทำหลังจากเกิดเหตุรถยนต์ชนกันแล้ว เป็นกรณีกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน.
of 65