คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เธียร ยูงทอง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 426 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3181/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจโนตารีปับลิกรับรองนิติบุคคล: หนังสือมอบอำนาจเป็นหลักฐานสำคัญยืนยันสถานะ
อำนาจของโนตารีปับลิกมิใช่เพียงแต่การรับรองลายมือชื่อของผู้ทำเอกสารว่าได้มีการลงลายมือชื่อต่อหน้าตนเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงอำนาจที่จะรับรองการกระทำคือหนังสือมอบอำนาจด้วย เมื่อข้อเท็จจริงในหนังสือมอบอำนาจมีข้อความชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นบริษัทจำกัด จึงต้องฟังไปตามนั้น หาจำเป็นจะต้องมีหนังสือจากนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทมาแสดงไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3153/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาลและการละเมิดอำนาจศาล: ข้อความในอุทธรณ์ที่ดูหมิ่นเสียดสี
โจทก์อุทธรณ์มีข้อความว่า ศาลกระทำการอันไม่เป็นธรรมเข้าข้างฝ่ายจำเลยทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องมีข้อความเช่นนี้ในอุทธรณ์แสดงว่าโจทก์กล่าวไว้โดยเจตนาดูหมิ่นเสียดสีศาล เมื่อเอามายื่นต่อศาลถือได้ว่าประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นการกระทำละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1) แล้ว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งลงโทษได้ทันที โดยไม่จำต้องออกข้อกำหนดตามมาตรา 30 ก่อน ดังเช่นเรื่องการรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาลและศาลไม่จำต้องสั่งให้โจทก์แก้ไขอุทธรณ์นั้นก่อนตามมาตรา 18 แม้ศาลจะมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขและโจทก์ทำอุทธรณ์ฉบับใหม่มายื่นต่อศาลแล้ว ก็เป็นเพียงแสดงว่าโจทก์รู้สึกผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายหาใช่การกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลยังมิได้เกิดขึ้นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3153/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาลและการละเมิดอำนาจศาล: ศาลมีอำนาจลงโทษทันทีโดยไม่ต้องออกข้อกำหนด
โจทก์อุทธรณ์มีข้อความว่า ศาลกระทำการอันไม่เป็นธรรมเข้าข้างฝ่ายจำเลยทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องมีข้อความเช่นนี้ในอุทธรณ์แสดงว่าโจทก์กล่าวไว้โดยเจตนาดูหมิ่นเสียดสีศาล เมื่อเอามายื่นต่อศาลถือได้ว่าประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นการกระทำละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1)แล้ว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งลงโทษได้ทันที โดยไม่จำต้องออกข้อกำหนดตามมาตรา 30 ก่อน ดังเช่นเรื่องการรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาลและศาลไม่จำต้องสั่งให้โจทก์แก้ไขอุทธรณ์นั้นก่อนตามมาตรา 18แม้ศาลจะมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขและโจทก์ทำอุทธรณ์ฉบับใหม่มายื่นต่อศาลแล้ว ก็เป็นเพียงแสดงว่าโจทก์รู้สึกผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายหาใช่การกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลยังมิได้เกิดขึ้นไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3152/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคัดค้านผู้พิพากษาและการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการตุลาการตามกฎหมายพิเศษ
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่คัดค้านผู้พิพากษาทุกคนที่จะทำการพิจารณาคดีโจทก์ในศาลชั้นต้น ด้วยเหตุคำคัดค้านไม่ต้องด้วยบทบัญญัติเรื่องการคัดค้านผู้พิพากษา ดังนี้เท่ากับเป็นการไม่รับคำคัดค้านไว้พิจารณา มิใช่เป็นการสั่งยอมรับหรือยกเสียซึ่งคำคัดค้านตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 14 ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโดยไม่ส่งสำนวนไปให้ศาลซึ่งมีอำนาจสูงกว่าวินิจฉัย ตามมาตรา 13 แห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวนั้นชอบแล้ว
คณะกรรมการตุลาการปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการกำหนดไว้ได้โดยอิสระ มิได้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีฯ จึงไม่มีอำนาจที่จะแต่งตั้งกรรมการขึ้นสอบสวนกรรมการตุลาการเป็นรายคนหรือทั้งคณะในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าว
คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยมีอำนาจสอบสวนและลงมติตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้ง เมื่อไม่ได้กระทำไปโดยอคติ หรือไม่ยุติธรรม หรือไม่สุจริต ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3152/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคัดค้านผู้พิพากษา การปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการตุลาการ และความผิดตามมาตรา 157
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่คัดค้านผู้พิพากษาทุกคนที่จะทำการพิจารณาคดีโจทก์ในศาลชั้นต้น ด้วยเหตุคำคัดค้านไม่ต้องด้วยบทบัญญัติเรื่องการคัดค้านผู้พิพากษา ดังนี้เท่ากับเป็นการไม่รับคำคัดค้านไว้พิจารณา มิใช่เป็นการสั่งยอมรับหรือยกเสียซึ่งคำคัดค้านตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 14ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโดยไม่ส่งสำนวนไปให้ศาลซึ่งมีอำนาจสูงกว่าวินิจฉัย ตามมาตรา 13 แห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวนั้นชอบแล้ว คณะกรรมการตุลาการปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการกำหนดไว้ได้โดยอิสระ มิได้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีฯ จึงไม่มีอำนาจที่จะแต่งตั้งกรรมการขึ้นสอบสวนกรรมการตุลาการเป็นรายคนหรือทั้งคณะในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าว คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยมีอำนาจสอบสวนและลงมติตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้ง เมื่อไม่ได้กระทำไปโดยอคติ หรือไม่ยุติธรรม หรือไม่สุจริต ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3103/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ไม้หวงห้ามมีปริมาณน้อย ไม่ถือเป็นต้นหรือท่อน ไม่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
ในกรณีมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองเป็นต้นหรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างรวมกันเกินยี่สิบต้นหรือท่อนตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคสอง (2)นั้น ขนาดของไม้ต้นหรือท่อนจะต้องมีขนาดใหญ่พอควร พอที่จะถือว่าเป็นไม้ต้นหรือไม้ท่อนได้ เมื่อคดีได้ความว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันมีไม้มะพลับหรือไม้พลับจำนวน 11 ท่อน ปริมาตร 1.08 ลูกบาศก์เมตรไม้โมกมันจำนวน 52 ท่อน ปริมาตร 0.99 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตแม้จำนวนไม้ที่จำเลยทั้งห้ามีไว้ในครอบครองจะมีจำนวนรวมกันถึง63 ท่อน แต่ไม้ทั้งหมดมีปริมาตรรวมกันเพียง 2.07 ลูกบาศก์เมตรเท่านั้น แสดงว่าไม้หวงห้ามดังกล่าวเป็นเศษไม้เล็กไม้น้อย อันมีลักษณะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่มีลักษณะเป็นต้นหรือท่อนตามความหมายของพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคสอง(2) จึงไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งห้าตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ จำเลยทั้งห้าคงมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคแรกเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3103/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ไม้หวงห้ามมีจำนวนมากแต่ปริมาตรน้อย ไม่ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ มาตรา 69 วรรคสอง
ในกรณีมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองเป็นต้นหรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างรวมกันเกินยี่สิบต้นหรือท่อนตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคสอง (2)นั้น ขนาดของไม้ต้นหรือท่อนจะต้องมีขนาดใหญ่พอควร พอที่จะถือว่าเป็นไม้ต้นหรือไม้ท่อนได้ เมื่อจำเลยทั้งห้าร่วมกันมีไม้มะพลับหรือไม้พลับจำนวน11ท่อนปริมาตร1.08ลูกบาศก์เมตรไม้โมกมันจำนวน 52 ท่อน ปริมาตร 0.99 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต แม้จำนวนไม้ที่จำเลยทั้งห้ามีไว้ในครอบครองจะมีจำนวนรวมกันถึง 63 ท่อนแต่ไม้ทั้งหมดมีปริมาตรรวมกันเพียง 2.07 ลูกบาศก์เมตรเท่านั้นแสดงว่าไม้หวงห้ามดังกล่าว เป็นเศษไม้เล็กไม้น้อยอันมีลักษณะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่มีลักษณะเป็นต้นหรือท่อนตามความหมายของมาตรา 69 วรรคสอง (2) จึงไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งห้าตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ จำเลยทั้งห้าคงมีความผิดตามมาตรา 69 วรรคแรก เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3103/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ไม้หวงห้ามมีปริมาณน้อยไม่ถือเป็นต้นหรือท่อน ศาลยกเว้นโทษตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
ในกรณีมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองเป็นต้นหรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างรวมกันเกินยี่สิบต้นหรือท่อนตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคสอง (2)นั้น ขนาดของไม้ต้นหรือท่อนจะต้องมีขนาดใหญ่พอควร พอที่จะถือว่าเป็นไม้ต้นหรือไม้ท่อนได้ เมื่อคดีได้ความว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันมีไม้มะพลับหรือไม้พลับจำนวน 11 ท่อน ปริมาตร 1.08 ลูกบาศก์เมตรไม้โมกมันจำนวน 52 ท่อน ปริมาตร 0.99 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตแม้จำนวนไม้ที่จำเลยทั้งห้ามีไว้ในครอบครองจะมีจำนวนรวมกันถึง63 ท่อน แต่ไม้ทั้งหมดมีปริมาตรรวมกันเพียง 2.07 ลูกบาศก์เมตรเท่านั้น แสดงว่าไม้หวงห้ามดังกล่าวเป็นเศษไม้เล็กไม้น้อย อันมีลักษณะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่มีลักษณะเป็นต้นหรือท่อนตามความหมายของพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคสอง(2) จึงไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งห้าตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ จำเลยทั้งห้าคงมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคแรกเท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3078/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อ: กรรมสิทธิ์ตกเป็นของผู้เช่าซื้อเมื่อชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วน แม้สัญญามิได้ระบุ
สัญญาซึ่งใช้ชื่อว่าสัญญาเช่าซื้อและข้อความตามสัญญายังมีข้อตกลงว่าถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัด ผิดสัญญา ให้ผู้ให้เช่าซื้อริบบรรดาเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ใช้มาแล้ว และผู้ให้เช่าซื้อเข้าครอบครองรถยนต์เป็นของตนดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 574 แม้สัญญาดังกล่าวไม่มีข้อความระบุไว้ว่า เมื่อผู้เช่าซื้อชำระเงินครบถ้วนแล้ว ให้กรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินที่เช่าซื้อตกเป็นของผู้เช่าซื้อก็ตาม แต่มาตรา 572 ได้บัญญัติในเรื่องเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อไว้ว่าเป็นสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่าโดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อผู้เช่าซื้อได้ใช้เงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญาแล้ว ให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อและสัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือ ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือตกเป็นโมฆะตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว เมื่อผู้เช่าซื้อได้ใช้เงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญาแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อย่อมตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อ ทั้งนี้โดยผลของกฎหมายซึ่งบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดแล้ว ดังนี้ แม้สัญญามิได้ระบุข้อความดังกล่าวไว้ก็หาขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าวและหาทำให้ไม่เป็นสัญญาเช่าซื้อไม่ การที่โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยในค่าเสียหายจากจำเลยในอัตราร้อยละ15 ต่อปีนั้น ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยในค่าเสียหายดังกล่าวนี้เป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าวิธีหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ ถ้ากำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลอาจลดลงเป็นจำนวนที่พอสมควรได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3003/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันจากการท้าสาบาน - การไม่ปฏิบัติตามถือว่ายอมแพ้คดี
ใบแต่งทนายความของจำเลยระบุให้ทนายความมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใดไปในทางจำหน่ายสิทธิของจำเลยได้ เช่น การยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การประนีประนอมยอมความ ฯลฯในวันชี้สองสถาน ทนายโจทก์และทนายจำเลยตกลงท้ากันว่า หากโจทก์และผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกับโจทก์ไปสาบานที่ วัดพระแก้วกับ วัดบ้านแหลม โดยจำเลยจะเป็นผู้นำสาบานว่าโจทก์กับพวกไม่ได้เคลื่อนย้ายหลักเขตที่ดินมุม ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ แล้วจำเลยไม่ติดใจถือว่ายอมแพ้ ก่อนถึงวันนัดสาบานตามคำท้า ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายจำเลยโดยอ้างว่าความคิดเห็นไม่ตรงกัน เนื่องจากได้แจ้งเรื่องคำท้าให้จำเลยทราบแล้วจำเลยไม่ยอมรับ คำท้า แต่จะให้มีการสืบพยานต่อไป ในคำร้องดังกล่าวจำเลยได้ลงชื่อรับทราบข้อความและไม่คัดค้านไว้ ทั้งในวันนัดสาบานตามคำท้าทนายจำเลยก็แถลงยืนยันตามข้อความในคำร้องดังกล่าวจึงต้องฟังว่าจำเลยได้ทราบวันนัดสาบานตามคำท้าแล้ว แม้ในวันที่คู่ความแถลงท้ากันจำเลยไม่ได้ไปศาลก็ตาม เมื่อคำท้ามีผลผูกพันจำเลย จำเลยสามารถปฏิบัติตามคำท้านั้นได้โดยไปเป็นผู้นำสาบานตามคำท้า แต่จำเลยไม่ไป ถือได้ว่าจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามคำท้าจึงต้องตกเป็นฝ่ายแพ้คดี
of 43