คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประมาณ ชันซื่อ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 250 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2274/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหลอกลวงเอาสมุดเงินฝากของตนเองคืนจากเจ้าหนี้ ไม่ถือว่าฉ้อโกง เพราะเจ้าหนี้ไม่สามารถถอนเงินได้จริง
จำเลยกู้เงินโจทก์ไป 20,000 บาท ตกลงผ่อนชำระคืนเดือนละ4,000 บาท ในการนี้จำเลยมอบสมุดเงินฝากสะสมทรัพย์ของจำเลยพร้อมด้วยใบมอบฉันทะให้ถอนเงิน 5 ฉบับ ๆ ละ 4,000 บาท ให้แก่โจทก์เพื่อโจทก์ไปเบิกเงินมาชำระหนี้ดังกล่าว แม้ต่อมาจำเลยจะหลอกลวงโจทก์จนโจทก์หลงเชื่อมอบสมุดเงินฝากของจำเลยให้แก่จำเลยไปแต่จำเลยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงินตามใบมอบฉันทะให้ถอนเงินได้ทุกเมื่อทั้งยังปรากฏว่าในขณะที่จำเลยหลอกลวงเอาสมุดเงินฝากคืนไปจากโจทก์นั้น เงินในบัญชีธนาคารของจำเลยมีจำนวนไม่ถึง 4,000 บาท โจทก์ย่อมไม่อาจถอนเงินตามใบมอบฉันทะดังกล่าวได้ แม้โจทก์จะมีสมุดเงินฝากของจำเลยและจำเลยไม่สั่งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงินก็ตาม การที่จำเลยหลอกลวงเอาสมุดเงินฝากของจำเลยเองไปจากโจทก์จึงไม่ทำให้จำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากโจทก์ และไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2274/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหลอกลวงเอาสมุดเงินฝากของตนเองคืนจากเจ้าหนี้ ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง เพราะเจ้าหนี้ไม่สามารถถอนเงินได้จริง
จำเลยกู้เงินโจทก์ไป 20,000 บาท ตกลงผ่อนชำระคืนเดือนละ 4,000 บาท ในการนี้จำเลยมอบสมุดเงินฝากสะสมทรัพย์ของจำเลยพร้อมด้วยใบมอบฉันทะให้ถอนเงิน 5 ฉบับ ๆ ละ 4,000 บาท ให้แก่โจทก์ เพื่อโจทก์ไปเบิกเงินมาชำระหนี้ดังกล่าว แม้ต่อมาจำเลยจะหลอกลวงโจทก์จนโจทก์หลงเชื่อมอบสมุดเงินฝากของจำเลยให้แก่จำเลยไป แต่จำเลยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงินตามใบมอบฉันทะให้ถอนเงินได้ทุกเมื่อทั้งยังปรากฏว่าในขณะที่จำเลยหลอกลวงเอาสมุดเงินฝากคืนไปจากโจทก์นั้น เงินในบัญชีธนาคารของจำเลยมีจำนวนไม่ถึง 4,000 บาท โจทก์ย่อมไม่อาจถอนเงินตามใบมอบฉันทะดังกล่าวได้ แม้โจทก์จะมีสมุดเงินฝากของจำเลยและจำเลยไม่สั่งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงินก็ตาม การที่จำเลยหลอกลวงเอาสมุดเงินฝากของจำเลยเองไปจากโจทก์จึงไม่ทำให้จำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากโจทก์ และไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2071/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเท็จเกี่ยวกับโฉนดที่ดิน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหากไม่เสียหายโดยตรง
จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์โดยนำโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่ 2 มาให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า โฉนดที่ดินดังกล่าวถูกไฟไหม้หายไป แล้วจำเลยที่ 1 ได้คัดรายงานประจำวันไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกใบแทนโฉนด และจำเลยทั้งสี่ให้ถ้อยคำยืนยันต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า โฉนดที่ดินถูกไฟไหม้สูญหายไปซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงโฉนดดังกล่าวอยู่ที่โจทก์ ดังนี้ การแจ้งความเท็จดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่กระทำต่อเจ้าพนักงาน และตามคำแจ้งความก็มิได้แจ้งเจาะจงกล่าวถึงโจทก์อันจะถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง อีกทั้งโจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอากับโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2071/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเท็จและให้ถ้อยคำเท็จต่อเจ้าพนักงาน โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยที่1กู้เงินโจทก์โดยนำโฉนดที่ดินของจำเลยที่1ที่2มาให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันต่อมาจำเลยที่1ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโฉนดที่ดินดังกล่าวถูกไฟไหม้หายไปแล้วจำเลยที่1ได้คัดรายงานประจำวันไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกใบแทนโฉนดและจำเลยทั้งสี่ให้ถ้อยคำยืนยันต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าโฉนดที่ดินถูกไฟไหม้สูญหายไปซึ่งเป็นความเท็จความจริงโฉนดดังกล่าวอยู่ที่โจทก์ดังนี้การแจ้งความเท็จดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่กระทำต่อเจ้าพนักงานและตามคำแจ้งความก็มิได้แจ้งเจาะจงกล่าวถึงโจทก์อันจะถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรงอีกทั้งโจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอากับโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ตามกฎหมายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2071/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเท็จและให้ถ้อยคำเท็จต่อเจ้าพนักงาน ทำให้ผู้อื่นได้ทรัพย์สินไปโดยมิชอบ โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง
จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์โดยนำโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่ 2 มาให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า โฉนดที่ดินดังกล่าวถูกไฟไหม้หายไป แล้วจำเลยที่ 1ได้คัดรายงานประจำวันไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกใบแทนโฉนด และจำเลยทั้งสี่ให้ถ้อยคำยืนยันต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าโฉนดที่ดินถูกไฟไหม้สูญหายไปซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงโฉนดดังกล่าวอยู่ที่โจทก์ ดังนี้ การแจ้งความเท็จดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่กระทำต่อเจ้าพนักงาน และตามคำแจ้งความก็มิได้แจ้งเจาะจงกล่าวถึงโจทก์อันจะถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรงอีกทั้งโจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอากับโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ตามกฎหมายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2071/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเท็จและให้ถ้อยคำเท็จต่อเจ้าพนักงาน ทำให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ทางการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง
จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์โดยนำโฉนดที่ดินของจำเลยที่1 ที่ 2 มาให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า โฉนดที่ดินดังกล่าวถูกไฟไหม้หายไป แล้วจำเลยที่ 1 ได้คัดรายงานประจำวันไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกใบแทนโฉนด และจำเลยทั้งสี่ให้ถ้อยคำยืนยันต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า โฉนดที่ดินถูกไฟไหม้สูญหายไป ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงโฉนดดังกล่าวอยู่ที่โจทก์ ดังนี้ การแจ้งความเท็จดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่กระทำต่อเจ้าพนักงานและตามคำแจ้งความก็มิได้แจ้งเจาะจงกล่าวถึงโจทก์อันจะถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง อีกทั้งโจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอากับโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจ้างวานให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าโดยเจตนา แม้ยังไม่สำเร็จความผิด ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
ฉ. ติดต่อหามือปืนมายิงผู้เสียหายตามที่จำเลยที่ 1 ต้องการฉ. มีพฤติการณ์เป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด แต่เมื่อโจทก์ได้กัน ฉ. ไว้ที่พยาน คำเบิกความของ ฉ. รับฟังได้ แต่มีน้ำหนักน้อย ต้องฟังพยานอื่นประกอบจึงจะรับฟังลงโทษจำเลยได้
จำเลยที่ 1 จ้าง วาน ใช้ ให้จำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย แต่จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้กระทำความผิดฆ่าผู้อื่นจำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 84 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จ้างวานให้ผู้อื่นฆ่า แม้ยังไม่สำเร็จความผิดก็เกิดขึ้นได้ การรับสารภาพที่สมัครใจมีน้ำหนักเชื่อถือได้
ฉ. ติดต่อหามือปืนมายิงผู้เสียหายตามที่จำเลยที่ 1 ต้องการฉ. มีพฤติการณ์เป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด แต่เมื่อโจทก์ได้กัน ฉ.ไว้ที่พยานคำเบิกความของฉ. รับฟังได้ แต่มีน้ำหนักน้อย ต้องฟังพยานอื่นประกอบจึงจะรับฟังลงโทษจำเลยได้
จำเลยที่ 1 จ้าง วาน ใช้ ให้จำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย แต่จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้กระทำความผิดฆ่าผู้อื่นจำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4),84 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1833/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับโอนเช็คที่ไม่มีมูลหนี้ การฉ้อฉล และอำนาจฟ้อง
จำเลยกู้เงินจาก ส.สามีอ. และสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่ ส.โดยมอบให้อ. เป็นผู้รับไป ก่อนเช็คดังกล่าวถึงกำหนดชำระ ส. ขอร้องให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คให้ใหม่โดยบอกว่า อ.มิได้นำเช็คพิพาทไปมอบให้แก่ส. จำเลยจึงสั่งจ่ายเช็คให้ใหม่แทนเช็คพิพาท และได้ชำระหนี้ตามเช็คฉบับใหม่แล้ว เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่ปราศจากมูลหนี้เมื่อโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจาก อ.โดยรู้ว่าเป็นเช็คที่ไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับ ส. แล้วนำไปเข้าบัญชีที่ธนาคาร ซึ่งเท่ากับโจทก์กระทำโดยไม่สุจริต ถือได้ว่าโจทก์กับ อ. คบคิดกันฉ้อฉลจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจนำเช็คพิพาทมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลย ในการวินิจฉัยในประเด็นตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่าการโอนเช็คพิพาทระหว่างโจทก์กับ อ. ได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยหรือไม่ ศาลจำต้องพิจารณาถึงมูลฐานซึ่งเป็นต้นเหตุให้โจทก์รับสลักหลังเช็คพิพาทจาก อ.เมื่อพิจารณาจากทางนำสืบของจำเลยแล้วปรากฏว่า ต้นเหตุที่โจทก์รับสลักหลังเช็คพิพาทจาก อ.ก็เนื่องมาจากโจทก์กับอ.เป็นญาติกัน และโจทก์ประกอบวิชาชีพทนายความ อ. ซึ่งทราบเรื่องที่จำเลยออกเช็คฉบับใหม่แทนเช็คพิพาทแล้วไปปรึกษากับโจทก์เพื่อหาทางให้ได้รับเงินตามเช็คพิพาทโดยให้โจทก์รับสลักหลังเช็คนั้นแล้วนำมาฟ้องจำเลย เพราะหากให้ อ.ฟ้องเองจำเลยย่อมต่อสู้อ.โดยอาศัยความเกี่ยวพันระหว่างจำเลยกับ อ. ได้เช่นนี้ ตามรูปเรื่องถือได้ว่าอยู่ในประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลย ศาลย่อมนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกสำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1833/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนเช็คที่ปราศจากมูลหนี้โดยเจตนาฉ้อฉล ทำให้ผู้รับโอนไม่มีสิทธิเรียกร้อง
จำเลยกู้เงินจาก ส.สามีอ. จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่ ส.โดยมอบให้อ. เป็นผู้รับไปต่อมาก่อนเช็คดังกล่าวถึงกำหนดชำระ ส. ขอร้องให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คให้ใหม่โดยบอกว่า อ. มิได้นำเช็คที่ยังไม่ได้ขึ้นเงินที่ธนาคาร ไปมอบให้แก่ ส. จำเลยจึงสั่งจ่ายเช็คให้ใหม่แทนเช็คพิพาท เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่ปราศจากมูลหนี้ เมื่อปรากฏว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจาก อ. โดยรู้ว่าเป็นเช็คที่ไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับ ส.แล้วนำไปเข้าบัญชีที่ธนาคาร ซึ่งเท่ากับโจทก์กระทำโดยไม่สุจริต ถือได้ว่าโจทก์กับ อ. คบคิดกันฉ้อฉลจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจนำเช็คพิพาทมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลย.
ในการวินิจฉัยในประเด็นตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่าการโอนเช็คพิพาทระหว่างโจทก์กับ อ. ได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยหรือไม่ ศาลจำต้องพิจารณา ถึงมูลฐานซึ่งเป็นต้นเหตุให้โจทก์รับสลักหลังเช็คพิพาทจาก อ. เมื่อพิจารณา จากทางนำสืบของจำเลยแล้วปรากฏว่า ต้นเหตุที่โจทก์รับสลักหลังเช็คพิพาทจาก อ.ก็เนื่องมาจากโจทก์กับอ.เป็นญาติ กัน และโจทก์ประกอบวิชาชีพทนายความ อ. ซึ่งทราบเรื่องที่จำเลยออกเช็คฉบับใหม่แทนเช็คพิพาทแล้วไปปรึกษากับโจทก์เพื่อหาทางให้ได้รับเงินตามเช็คพิพาทโดยให้โจทก์รับสลักหลังเช็คนั้นแล้วนำมาฟ้องจำเลย เพราะหากให้ อ.ฟ้องเองจำเลยย่อมต่อสู้อ. โดยอาศัยความเกี่ยวพันระหว่างจำเลยกับ อ. ได้ เช่นนี้ ตามรูปเรื่องถือได้ว่าอยู่ในประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลย ศาลย่อมนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกสำนวน.
of 25