พบผลลัพธ์ทั้งหมด 250 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1334/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลทหาร: คดีเบิกความเท็จของทหาร ไม่เกี่ยวพันกับคดีแพ่งเดิม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนายทหารเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งของศาลพลเรือน การที่โจทก์นำคำเบิกความของจำเลยทั้งสองมาฟ้องคดีนี้ หาใช่คดีนี้เกี่ยวพันกับคดีแพ่งดังกล่าวไม่แต่เป็นเพียงนำคำเบิกความดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานที่จะอ้างอิงในคดีนี้เท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรประจำการและจำเลยที่ 2 เป็นนายทหารประทวนประจำการ จำเลยทั้งสองจึงเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหารพ.ศ. 2498 มาตรา 16(1) และ (3) ตามลำดับ ทั้งเป็นคดีที่ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 14 คดีจึงอยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาตามมาตรา 13
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขายถูกบอกเลิก เช็คชำระค่าที่ดินส่วนหนึ่ง ไม่มีหน้าที่ชำระเงิน
เดิมโจทก์ จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันโดยจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อชำระเป็นค่าซื้อที่ดินบางส่วนต่อมาเมื่อโจทก์จำเลยต่างบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต่อกันแล้วจำเลยก็ไม่มีหน้าที่ชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์อีก โจทก์ไม่อาจนำเช็คพิพาทมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บอกเลิกสัญญาก่อนเช็คถึงกำหนด: จำเลยไม่ต้องรับผิดตามเช็คค่าที่ดิน
เดิมโจทก์ จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันโดยจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อชำระเป็นค่าซื้อที่ดินบางส่วน ต่อมา เมื่อโจทก์จำเลยต่างบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต่อกันแล้ว จำเลยก็ไม่มีหน้าที่ชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์อีก โจทก์ไม่อาจนำเช็คพิพาทมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บอกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดิน ย่อมไม่มีหน้าที่ชำระเงินตามเช็ค
เดิมโจทก์ จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันโดยจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อชำระเป็นค่าซื้อที่ดินบางส่วนต่อมา เมื่อโจทก์จำเลยต่างบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต่อกันแล้ว จำเลยก็ไม่มีหน้าที่ชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์อีก โจทก์ไม่อาจนำเช็คพิพาทมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1066/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องค่าเสียหายจากการขนส่งทางทะเล: ประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 624
การที่บริษัทเดินเรือขนสินค้าจากประเทศอินเดียมายังท่าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นท่าเรือปลายทาง เป็นการรับขนของทางทะเล ซึ่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 609วรรคท้าย ให้บังคับตามกฎหมายและกฎข้อบังคับว่าด้วยการนั้นปัจจุบันกฎหมายและกฎข้อบังคับว่าด้วยการรับขนของทางทะเลของประเทศไทยยังไม่มี ในเรื่องอายุความฟ้องร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายของสินค้าหรือสิ่งของที่ขนส่งทางทะเล ต้องนำ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา624 ซึ่งเป็นบทบัญญัติในบรรพ 3 ลักษณะ 8 หมวด 1 ว่าด้วยรับขนของ อันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับคดีตามที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคสามเมื่อปรากฏว่าผู้ซื้อสินค้าตามฟ้องหรือผู้รับตราส่งรับสินค้าไปเมื่อ พ.ศ. 2522 และ 2523 โจทก์รับช่วงสิทธิเรียกร้องมาจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับตราส่งมาฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญหายและบุบสลายของสินค้าเมื่อวันที่23 สิงหาคม 2526 คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามมาตรา 624.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1066/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องค่าเสียหายจากการขนส่งทางทะเล: การนำบทบัญญัติมาตรา 624 มาปรับใช้เมื่อไม่มีกฎหมายเฉพาะ
ปัจจุบันกฎหมายและกฎข้อบังคับว่าด้วยการรับขนของทางทะเลของประเทศไทยยังไม่มี ในเรื่องอายุความฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายของสินค้าหรือสิ่งของที่ขนส่งทาง ทะเล ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 624 ซึ่งเป็นบทบัญญัติในบรรพ 3 ลักษณะ 8 หมวด 1 ว่าด้วยรับขนของ อันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับคดีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 วรรคสาม เมื่อปรากฏว่าผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับตราส่งรับสินค้าไปเมื่อพุทธศักราช 2522 และ 2523 โจทก์รับช่วงสิทธิเรียกร้องจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับตราส่งมาฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญหายและ บุบสลายของสินค้าเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2526 คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2532)
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2532)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1066/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายสินค้าสูญหายจากการขนส่งทางทะเล
ปัจจุบันกฎหมายและกฎข้อบังคับว่าด้วยการรับขนของทางทะเลของประเทศ ไทย ยังไม่มี ในเรื่องอายุความฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายของสินค้าหรือสิ่งของที่ขนส่งทางทะเล ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 624 ซึ่งเป็นบทบัญญัติในบรรพ 3 ลักษณะ 8 หมวด 1ว่าด้วยรับขนของ อันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับคดีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 วรรคสาม เมื่อปรากฏว่าผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับตราส่งรับสินค้าไปเมื่อพุทธศักราช 2522 และ 2523 โจทก์รับช่วงสิทธิเรียกร้องจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับตราส่งมาฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญหายและบุบสลายของสินค้าเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2526 คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ. (วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2532)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1066/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องค่าเสียหายสินค้าสูญหายจากการขนส่งทางทะเล: ใช้มาตรา 624 พ.ร.บ.แพ่งและพาณิชย์
อายุความฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายของสินค้าหรือสิ่งของที่ขนส่งทางทะเล ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 624 ซึ่งเป็นบทบัญญัติในบรรพ 3 ลักษณะ 8 หมวด 1 ว่าด้วยรับขนของ อันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับคดีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 วรรคสามปรากฏว่าผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับตราส่งรับสินค้าไปเมื่อ พ.ศ. 2522และ 2523 โจทก์รับช่วงสิทธิจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับตราส่งมาฟ้องเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2526 คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ร่วม: การยุติสิทธิเมื่อมิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 91 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 137 ให้ยกฟ้องข้อหาตามมาตรา 267 โจทก์อุทธรณ์ ส่วนโจทก์ร่วมมิได้อุทธรณ์ สิทธิอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมในข้อหาตามมาตรา 267 จึงยุติ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อหาตามมาตรา 267 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิที่จะฎีกาว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายต่อไปอีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์ฎีกาจำกัดในข้อหาที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,267,91 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 137 ให้ยกฟ้องข้อหาตามมาตรา 267 โจทก์อุทธรณ์ ส่วนโจทก์ร่วมมิได้อุทธรณ์สิทธิอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมในข้อหาตามมาตรา 267 จึงยุติ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อหาตามมาตรา 267 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิที่จะฎีกาว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายต่อไปอีกได้.