พบผลลัพธ์ทั้งหมด 517 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3026/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความของพยานที่ได้ฟังคำเบิกความของพยานก่อนหน้า ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจในการรับฟัง
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 114 มิได้บังคับโดยเด็ด ขาดมิให้ศาลรับฟังคำพยานซึ่งเบิกความโดยได้ฟังคำพยานคนก่อนเบิกความต่อหน้าตนมาแล้ว แต่เป็นการให้ศาลใช้ดุลพินิจ ในการรับฟังคำพยานดังกล่าวได้และหามีบทบัญญัติใดบังคับไว้เด็ด ขาดห้ามมิให้สืบพยานที่ได้ฟังคำพยานคนก่อนเบิกความต่อหน้าตนไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3026/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานที่เบิกความโดยฟังคำพยานก่อนหน้า ศาลมีดุลพินิจพิจารณาความน่าเชื่อถือได้
กรณีที่พยานคนใดเบิกความโดยฟังคำพยานคนก่อนเบิกความต่อหน้าตนมาแล้ว แม้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะอ้างว่าศาลไม่ควรฟังคำเบิกความเช่นว่านี้เพราะเป็นการผิดระเบียบ ก็มิได้เป็นการบังคับมิให้ศาลรับฟังคำพยานดังกล่าวโดยเด็ดขาด เมื่อยังไม่ปรากฏว่าพยานจะเบิกความเป็นที่เชื่อถือฟังได้หรือไม่ และสามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้หรือไม่ จึงสมควรให้พยานเบิกความไปก่อนเพื่อศาลจะได้ใช้ดุลพินิจในการรับฟังว่าเป็นการผิดระเบียบหรือไม่ ยังไม่ควรงดสืบพยานเช่นนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3011/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้บังคับบัญชาต่อการปฏิบัติงานที่ไม่ถูกต้อง แม้ไม่มีระเบียบเป็นลายลักษณ์อักษร
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อได้ลงลายมือชื่อกำกับชื่อผู้มีสิทธิรับเงินคนเดิมที่จำเลยที่ 1 ขีดฆ่าออกและลงลายมือชื่อกำกับชื่อที่พิมพ์หรือเขียนแทนลงไปใหม่ กับได้ลงลายมือชื่อสั่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายเงินในคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรตามที่จำเลยที่ 1 นำเสนอ การที่จำเลยที่ 1 กับพวกสามารถทุจริตและนำเงินไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวได้ เพราะจำเลยที่ 2 ที่ 3ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้บังคับบัญชาได้ลดขั้นตอนการตรวจสอบ ให้จำเลยที่ 1 เสนอคำขอต่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยตรงไม่ต้องผ่านผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้นอันเป็นการเสี่ยงต่อการทุจริตแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล คำฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวหาว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ปฏิบัติหน้าที่โดยละเอียดรอบคอบ ไม่จัดให้มีการตรวจสอบเป็นขั้นตอนตามลำดับชั้นว่าการขีดฆ่าและเปลี่ยนแปลงชื่อผู้มีสิทธิรับเงินตามพันธบัตรรัฐบาลนั้นถูกต้องหรือไม่ แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ลงลายมือชื่อโดยไม่ใช้ความระมัดระวัง ก่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ และทางพิจารณาโจทก์ก็นำสืบเพื่อให้ศาลเห็นว่ามีขั้นตอนในการตรวจสอบมากมาย แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ตรวจสอบเลยและจำเลยที่ 2 ที่ 3 ประมาทเลินเล่อไม่ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบและได้เซ็นชื่อตามที่จำเลยที่ 1 กากบาทไว้ให้เซ็นเท่านั้น เช่นนี้แม้ไม่มีระเบียบเป็นลายลักษณ์อักษรกำหนดขั้นตอนในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการขอคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลของผู้ใช้ไฟฟ้าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็อาจจะต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์ได้ เพราะจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ควบคุมการทำงานของจำเลยที่ 1 ให้เป็นไปโดยถูกต้องและสุจริต การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3ได้ลงลายมือชื่อดังกล่าวก็เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้มีการตรวจสอบว่าถูกต้องแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าจะมีระเบียบการปฏิบัติเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ หากจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อด้วยความประมาทเลินเล่อแล้ว จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลแรงงานไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้ตรงกับข้อกล่าวหาตามคำฟ้องและตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมา ศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานพิจารณาพิพากษาความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3011/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของผู้บังคับบัญชาในการอนุมัติการจ่ายเงินพันธบัตรโดยไม่มีเอกสารมอบอำนาจ ทำให้เกิดความเสียหายต่อโจทก์
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อได้ลงลายมือชื่อกำกับชื่อผู้มีสิทธิรับเงินคนเดิมที่จำเลยที่ 1 ขีดฆ่าออกและลงลายมือชื่อกำกับชื่อที่พิมพ์หรือเขียนแทนลงไปใหม่ กับได้ลงลายมือชื่อสั่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายเงินในคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรตามที่จำเลยที่ 1 นำเสนอ การที่จำเลยที่ 1 กับพวกสามารถทุจริตและนำเงินไปเป็นประโยชนส่วนตัวได้ เพราะจำเลยที่ 2 ที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อโดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้บังคับบัญชาได้ลดขั้นตอนการตรวจสอบ ให้จำเลยที่ 1 เสนอคำขอต่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยตรงไม่ต้องผ่านผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้น อันเป็นการเสี่ยงต่อการทุจริตแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล คำฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวหาว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ปฏิบัติหน้าที่โดยละเอียดรอบคอบ ไม่จัดให้มีการตรวจสอบเป็นขั้นตอนตามลำดับชั้นว่าการขีดฆ่าและเปลี่ยนแปลงชื่อผู้มีสิทธิรับเงินตามพันธบัตรรัฐบาลนั้นถูกต้องหรือไม่ แต่จำเลยที่ 2ที่ 3 ลงลายมือชื่อโดยไม่ใช้ความระมัดระวัง ก่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 2 ที่ 3จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ และทางพิจารณาโจทก์ก็นำสืบเพื่อให้ศาลเห็นว่ามีขั้นตอนในการตรวจสอบมากมาย แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ตรวจสอบเลย และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ประมาทเลินเล่อไม่ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบและได้เซ็นชื่อตามที่จำเลยที่ 1 กากบาทไว้ให้เซ็นเท่านั้น เช่นนี้ แม้ไม่มีระเบียบเป็นลายลักษณ์อักษรกำหนดขั้นตอนในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการขอคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลของผู้ใช้ไฟฟ้า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็อาจจะต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์ได้ เพราะจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ควบคุมการทำงานของจำเลยที่ 1 ให้เป็นไปโดยถูกต้องและสุจริตการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อดังกล่าวก็เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้มีการตรวจสอบว่าถูกต้องแล้วดังนั้น ไม่ว่าจะมีระเบียบการปฏิบัติเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ หากจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อด้วยความประมาทเลินเล่อแล้ว จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ศาลแรงงานไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความรับผิดของของจำเลยที่ 2ที่ 3 ให้ตรงกับข้อกล่าวหาตามคำฟ้องและตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมา ศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานพิจารณาพิพากษาความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ใหม่ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31
ศาลแรงงานไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความรับผิดของของจำเลยที่ 2ที่ 3 ให้ตรงกับข้อกล่าวหาตามคำฟ้องและตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมา ศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานพิจารณาพิพากษาความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ใหม่ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2969/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าสวัสดิการบุตรไม่ถือเป็นค่าจ้าง: ศาลยืนตามเดิม ค่าจ้างต้องเป็นการตอบแทนการทำงานปกติ
การที่จำเลยซึ่ง เป็นนายจ้างให้โจทก์ซึ่ง เป็นลูกจ้างนำบุตรเข้ามาเรียนในโรงเรียนของจำเลยโดย ไม่เก็บค่าเล่าเรียน เป็นเพียงการให้สวัสดิการแก่โจทก์ ไม่ใช่เป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือนเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาปกติของวันทำงานเช่นเดียว กับค่าจ้าง จึงไม่เป็นค่าจ้างที่จำเลยจะนำมารวมคำนวณเป็นค่าจ้างจ่ายให้แก่โจทก์ตาม กฎหมายว่าด้วยอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2969/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าสวัสดิการบุตรไม่ถือเป็นค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน แม้จะช่วยคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้
การที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างให้โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างนำบุตรเข้ามาเรียนในโรงเรียนของจำเลยโดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน เป็นเพียงการให้สวัสดิการแก่โจทก์ ไม่ใช่เป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือนเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาปกติของวันทำงานเช่นเดียวกับค่าจ้าง จึงไม่เป็นค่าจ้างที่จำเลยจะนำมารวมคำนวณเป็นค่าจ้างจ่ายให้แก่โจทก์ตามกฎหมายว่าด้วยอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2606/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อกันในคดีความผิดหลายกระทงที่เกี่ยวพันกัน ศาลต้องคำนึงถึงเพดานโทษรวมตามกฎหมาย
คดีแรกที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วและคดีนี้ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นับโทษต่อจากคดีแรกนั้น เป็นความผิดซึ่งเกิดในคราวเดียวกัน ลักษณะและพฤติการณ์แห่งคดีเหมือนกัน เจ้าพนักงานจับกุมในคราวเดียวกันและผู้เสียหายคนเดียวกัน ทั้งความผิดทั้งสองสำนวนเกิดขึ้นและปรากฏต่อพนักงานสอบสวนก่อนวันที่จำเลยถูกจับกุมในคดีนี้ เห็นได้ว่าโจทก์อาจยื่นฟ้องจำเลยทุกกระทงความผิดเป็นสำนวนเดียวกันได้ กรณีเช่นนี้ศาลลงโทษจำคุกจำเลยได้ไม่เกินยี่สิบปี แม้ว่าโจทก์จะแยกฟ้องจำเลยเป็นสองสำนวนและขอให้นับโทษต่อกันก็ตาม แต่เมื่อรวมโทษที่จำเลยจะได้รับแล้วต้องไม่เกินยี่สิบปี เมื่อคดีนี้ศาลลงโทษจำเลยทุกกรรมโดยจำคุกจำเลยเต็มตามที่กฎหมายกำหนดแล้วศาลจะนับโทษจำเลยต่อจากคดีแรกไม่ได้
เมื่อปรากฏจากคำฟ้องว่า ระหว่างสอบสวนจำเลยไม่ถูก ควบคุมในคดีนี้ แต่ถูกคุมขังในคดีแรก การคำนวณระยะเวลาจำคุกในคดีนี้ต้องหักจำนวนวันที่จำเลยถูก คุมขังในคดีแรกจากระยะเวลาจำคุก 20 ปี ในคดีนี้ เพื่อมิให้จำเลยต้องรับโทษจำคุกเกินกำหนด 20 ปี ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
แม้คดีนี้จะถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วก็ตาม เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษในคดีแรกเกินกว่า 20 ปี อันไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งให้นับโทษจำเลยทั้งสองคดีติดต่อกันให้ถูกต้อง ศาลก็มีอำนาจที่จะมีคำสั่งให้ลงโทษจำเลยทั้งสองคดีติดต่อกันไม่เกิน 20 ปีได้
เมื่อปรากฏจากคำฟ้องว่า ระหว่างสอบสวนจำเลยไม่ถูก ควบคุมในคดีนี้ แต่ถูกคุมขังในคดีแรก การคำนวณระยะเวลาจำคุกในคดีนี้ต้องหักจำนวนวันที่จำเลยถูก คุมขังในคดีแรกจากระยะเวลาจำคุก 20 ปี ในคดีนี้ เพื่อมิให้จำเลยต้องรับโทษจำคุกเกินกำหนด 20 ปี ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
แม้คดีนี้จะถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วก็ตาม เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษในคดีแรกเกินกว่า 20 ปี อันไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งให้นับโทษจำเลยทั้งสองคดีติดต่อกันให้ถูกต้อง ศาลก็มีอำนาจที่จะมีคำสั่งให้ลงโทษจำเลยทั้งสองคดีติดต่อกันไม่เกิน 20 ปีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2606/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมโทษจำคุกหลายกระทงความผิดที่อาจฟ้องเป็นสำนวนเดียวกัน ศาลต้องไม่ลงโทษเกิน 20 ปี ตามมาตรา 91(2)
คดีที่โจทก์อาจยื่นฟ้องจำเลยทุกกระทงความผิดเป็น สำนวนเดียว กันได้ ซึ่ง ศาลลงโทษจำคุกจำเลยได้ ไม่เกินยี่สิบปี ตาม ป.อ.มาตรา 91(2) แม้โจทก์แยกฟ้องจำเลยเป็นสองสำนวน และ ขอให้นับโทษต่อ กัน แต่ เมื่อรวมโทษจำคุกที่จำเลยจะได้ รับแล้วก็ต้อง ไม่เกินยี่สิบปี เมื่อคดีนี้ศาลลงโทษจำเลยทุกกรรมโดย จำคุกจำเลยเต็ม ตาม ที่กำหนดไว้ใน ป.อ. มาตรา 91(2) แล้ว ศาลจะนับโทษ จำเลยต่อ จากคดีแรกของศาลชั้นต้นอีกไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2606/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อเมื่อฟ้องหลายสำนวน ความผิดเกิดในคราวเดียวกัน ต้องไม่เกิน 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา
คดีแรกที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วและคดีนี้ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นับโทษต่อ จากคดีแรกนั้น เป็นความผิดซึ่ง เกิดในคราวเดียว กัน ลักษณะและพฤติการณ์แห่งคดีเหมือนกัน เจ้าพนักงานจับกุมในคราวเดียวกันและผู้เสียหายคนเดียวกัน ทั้งความผิดทั้งสองสำนวนเกิดขึ้นและปรากฏต่อ พนักงานสอบสวนก่อนวันที่จำเลยถูก จับกุมในคดีนี้เห็นได้ ว่าโจทก์อาจยื่นฟ้องจำเลยทุกกระทงความผิดเป็นสำนวนเดียวกันได้ กรณีเช่นนี้ศาลลงโทษจำคุกจำเลยได้ ไม่เกินยี่สิบปีแม้ว่าโจทก์จะแยกฟ้องจำเลยเป็นสองสำนวนและขอให้นับโทษต่อกันก็ตามแต่ เมื่อรวมโทษที่จำเลยจะได้ รับแล้วต้อง ไม่เกินยี่สิบปี เมื่อคดีนี้ศาลลงโทษจำเลยทุกกรรมโดย จำคุกจำเลยเต็มตาม ที่กฎหมายกำหนดแล้วศาลจะนับโทษจำเลยต่อ จากคดีแรกไม่ได้ เมื่อปรากฏจากคำฟ้องว่า ระหว่างสอบสวนจำเลยไม่ถูก ควบคุมในคดีนี้ แต่ถูก คุมขังในคดีแรก การคำนวณระยะเวลาจำคุกในคดีนี้ต้องหักจำนวนวันที่จำเลยถูก คุมขังในคดีแรกจากระยะเวลาจำคุก 20 ปีในคดีนี้ เพื่อมิให้จำเลยต้อง รับโทษจำคุกเกินกำหนด 20 ปี ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย แม้คดีนี้จะถึง ที่สุดตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วก็ตาม เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อ จากโทษในคดีแรกเกินกว่า 20 ปี อันไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งให้นับโทษจำเลยทั้งสองคดีติดต่อ กันให้ถูกต้อง ศาลก็มีอำนาจที่จะมีคำสั่งให้ลงโทษจำเลยทั้งสองคดีติดต่อกันไม่เกิน 20 ปีได้ .
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2576/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลาหยุดพักผ่อนที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบ และการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม การขาดงานโดยไม่มีเหตุอันสมควร
โจทก์ขาดงานโดย ลาหยุดพักผ่อนไม่ถูกต้องตาม ระเบียบเพราะไม่ยื่นใบลาต่อ ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจให้ลา และการลาไม่ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจ แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสถานที่ที่โจทก์ทำงานจะไม่เคร่งครัดในการลา และโจทก์พูดขอลาทาง โทรศัพท์ต่อ ป. พนักงานของจำเลย แล้วข้อเท็จจริงดังกล่าวก็เป็นเพียงข้อที่จะนำมาวินิจฉัยว่าโจทก์ลาโดย ฝ่าฝืนระเบียบของจำเลยหรือไม่เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ยื่นใบลาโดย ฝ่าฝืนระเบียบ และไม่ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชามีผลเป็นการขาดงานแล้ว การที่โจทก์ได้ พูดโทรศัพท์ขอลาต่อ ป. ก็มิใช่เหตุที่ทำให้โจทก์ขาดงานโดย มีเหตุอันสมควร.