คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เคียง บุญเพิ่ม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 517 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2189/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักเงินโบนัสชำระหนี้จากการเบิกเงินทดรองจ่าย: สิทธิของนายจ้างเมื่อลูกจ้างได้รับทุนฝึกอบรม
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ได้ ขอเบิกเงินสมทบจากจำเลยเพื่อเป็น ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปฝึกอบรมยังต่างประเทศเนื่องจากโจทก์ได้ รับทุนจากต่างประเทศ และจำเลยได้ อนุมัติให้โจทก์ยืมเงินทดรองจ่ายไป การที่โจทก์ขอเบิกเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยเป็นผลโดยตรงจากความผูกพันในฐานะ ลูกจ้างและนายจ้างมิใช่หนี้อื่นตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 30 จำเลยจึงมีสิทธินำเงินโบนัสที่จะต้อง จ่ายแก่โจทก์มาหักกับหนี้ ดังกล่าวได้ โดย ไม่ต้องคำนึงว่าเงินโบนัสเป็นค่าจ้างหรือไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2189/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักเงินโบนัสชำระหนี้ที่เกิดจากความสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้าง ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ได้ขอเบิกเงินสมทบจากจำเลยเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปฝึกอบรมยังต่างประเทศเนื่องจากโจทก์ได้รับทุนจากต่างประเทศ และจำเลยได้อนุมัติให้โจทก์ยืมเงินทดรองจ่ายไป การที่โจทก์ขอเบิกเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลย เป็นผลโดยตรงจากความผูกพันในฐานะลูกจ้างและนายจ้าง หนี้ที่เกิดขึ้นจึงเกิดจากการที่โจทก์จำเลยปฏิบัติต่อกันในฐานะลูกจ้างและนายจ้าง มิใช่หนี้อื่นตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 30จำเลยมีสิทธินำเงินโบนัสที่จะต้องจ่ายแก่โจทก์มาหักกับหนี้ดังกล่าวได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าเงินโบนัสเป็นค่าจ้างหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2189/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักหนี้จากโบนัส: หนี้ที่เกิดจากความสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้าง มิใช่หนี้อื่นตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ได้ขอเบิกเงินสมทบจากจำเลยเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปฝึกอบรมยังต่างประเทศเนื่องจากโจทก์ได้รับทุนจากต่างประเทศ และจำเลยได้อนุมัติให้โจทก์ยืมเงินทดรองจ่ายไป การที่โจทก์ขอเบิกเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยเป็นผลโดยตรงจากความผูกพันในฐานะ ลูกจ้างและนายจ้าง หนี้ที่เกิดขึ้นจึงเกิดจากการที่โจทก์จำเลยปฏิบัติต่อกันในฐานะ ลูกจ้างและนายจ้าง มิใช่หนี้อื่นตาม ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 30 จำเลยมีสิทธินำเงินโบนัสที่จะต้องจ่ายแก่โจทก์มาหักกับหนี้ดังกล่าวได้โดย ไม่ต้องคำนึงว่าเงินโบนัสเป็นค่าจ้างหรือไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2172/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฐานะนายจ้างของผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท และการไม่เป็นฟ้องซ้ำเมื่อฐานะต่างกัน
ตาม ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องคุ้มครองแรงงาน (ข้อ 2)ได้ ให้ความหมายคำว่า "นายจ้าง" ว่า "...หมายความรวมถึงผู้ซึ่ง ได้ รับ มอบหมายให้ทำงานแทนนายจ้างในกรณีที่ นายจ้างเป็น นิติบุคคล" ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ซึ่ง เป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1 จึงมีฐานะ เป็นนายจ้างตาม ความหมายดังกล่าวแล้ว คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดในฐานะ ผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธ. ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดในฐานะ เป็นกรรมการผู้จัดการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 2ซึ่ง เป็นบริษัทจำกัด ดังนี้ จึงถือ ว่าจำเลยที่ 1 ในคดีก่อนและคดีนี้เป็นคนละคนกัน มิใช่กรณีที่คู่ความเดียว กันไม่เป็นฟ้องซ้ำ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2172-2173/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจกรรมการผู้จัดการร่วมรับผิดในฐานะนายจ้าง และการฟ้องซ้ำฐานะบุคคลต่างกัน
จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างของโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคล และมีฐานะเป็นนายจ้างตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2 จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับบริษัทจำเลยที่ 2
คดีเดิมโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้จัดการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบริษัทจำกัด ถือว่าจำเลยที่ 1 ในคดีเดิมและคดีนี้เป็นคนละคนกัน จึงมิใช่เป็นกรณีที่คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกอันจะเป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2172-2173/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของกรรมการผู้จัดการในฐานะนายจ้าง และการไม่เป็นฟ้องซ้ำเมื่อสถานะจำเลยต่างกัน
จำเลยที่1เป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทจำเลยที่2ซึ่งเป็นนายจ้างของโจทก์จำเลยที่1จึงเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่2ซึ่งเป็นนิติบุคคลและมีฐานะเป็นนายจ้างตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ2จำเลยที่1ต้องร่วมรับผิดกับบริษัทจำเลยที่2 คดีเดิมโจทก์ฟ้องจำเลยที่1ให้รับผิดในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่1ให้รับผิดในฐานะที่จำเลยที่1เป็นกรรมการผู้จัดการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่2ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดถือว่าจำเลยที่1ในคดีเดิมและคดีนี้เป็นคนละคนกันจึงมิใช่เป็นกรณีที่คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกอันจะเป็นฟ้องซ้ำ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2127/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย: ผู้ถูกทำร้ายมีสิทธิป้องกันการกระทำผิดได้ แม้จะใช้กำลังตอบโต้
ผู้เสียหายเป็นผู้ก่อเหตุร้ายขึ้นโดย ตบ หน้าจำเลยก่อน จำเลยไม่ได้สมัครใจต่อสู้ วิวาททำร้ายร่างกายกับผู้เสียหายด้วย การที่จำเลยเข้ากอดปล้ำตบ ตี ผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้ รับบาดเจ็บนั้น ย่อมถือ ได้ ว่าการกระทำของจำเลยพอสมควรแก่เหตุเป็นการป้องกันโดย ชอบด้วย กฎหมายตาม ป.อ. มาตรา 68.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำร้องเท็จเพื่อขอคืนหลักประกันการประกันตัว ละเมิดอำนาจศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน โดย ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ขอคัดหมายกักขังจำเลย และเป็นผู้ประกันตัวจำเลยไปในระหว่างอุทธรณ์ ผู้ถูกกล่าวหาย่อมทราบดีว่าศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในสถานใด การที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกันและรับหลักประกันคืนโดยมิได้นำตัวจำเลยส่งมอบต่อศาล และศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้มีคำพิพากษา อ้างว่าศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี โทษจำรอ ผู้ถูกกล่าวหาหมดข้อผูกพันตามสัญญาประกันอันเป็นเท็จ จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ศาลล่างมิได้อ้างบทกฎหมายที่เป็นบทลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ศาลฎีกาย่อมปรับบทเสียให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำร้องขอถอนหลักประกันด้วยเจตนาทุจริต ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล
ผู้ถูก กล่าวหาเป็นผู้ประกันตัวจำเลยในระหว่างอุทธรณ์ ในระหว่าง การพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกัน และรับหลักประกันคืนโดยอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 1ปี โทษจำรอในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกันนั้นผู้ถูกกล่าวหามิได้นำตัวจำเลยส่งมอบต่อศาลและศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลย อันจะทำให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นความรับผิดตามสัญญาประกัน ฉะนั้นการที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกันคืน โดยอ้างเหตุขอคืนอันเป็นเท็จ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาทราบความจริงอยู่แล้วหาใช่ผู้ถูกกล่าวหาเขียนคำร้องในส่วนที่เกี่ยวกับข้ออ้างขอถอนหลักประกันผิดพลาดไปแต่อย่างใดไม่ พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล และไม่มีเหตุสมควรที่จะลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดอำนาจศาลจากคำร้องเท็จ ผู้ประกันภัยยื่นขอถอนหลักประกันโดยมิชอบ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน โดยให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ขอคัดหมายกักขังจำเลยและเป็นผู้ประกันตัวจำเลยไปในระหว่างอุทธรณ์ ผู้ถูกกล่าวหาย่อมทราบดีว่าศาลพิพากษาให้ลงโทษจำเลยในสถานใด การที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกันและรับหลักประกันคืนอ้างว่าศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี โทษจำคุกให้รอ ผู้ถูกกล่าวหาจึงหมดข้อผูกพันตามสัญญาประกันซึ่งเป็นความเท็จ โดยมิได้นำจำเลยส่งมอบต่อศาลและศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำพิพากษานั้น เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลย่อมมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ศาลล่างมิได้อ้างบทกฎหมายที่เป็นบทลงโทษผู้ถูกกล่าวหาศาลฎีกาปรับบทให้ถูกต้องได้
of 52