พบผลลัพธ์ทั้งหมด 517 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องเท็จเพื่อขอคืนหลักประกันการประกันตัว ละเมิดอำนาจศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน โดย ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ขอคัดหมายกักขังจำเลย และเป็นผู้ประกันตัวจำเลยไปในระหว่างอุทธรณ์ ผู้ถูกกล่าวหาย่อมทราบดีว่าศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในสถานใด การที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกันและรับหลักประกันคืนโดยมิได้นำตัวจำเลยส่งมอบต่อศาล และศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้มีคำพิพากษา อ้างว่าศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี โทษจำรอ ผู้ถูกกล่าวหาหมดข้อผูกพันตามสัญญาประกันอันเป็นเท็จ จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ศาลล่างมิได้อ้างบทกฎหมายที่เป็นบทลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ศาลฎีกาย่อมปรับบทเสียให้ถูกต้อง
ศาลล่างมิได้อ้างบทกฎหมายที่เป็นบทลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ศาลฎีกาย่อมปรับบทเสียให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2111/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกค่าจ้างตามสัญญา แม้มีการอ้างละเมิดก็ไม่ทำให้คู่สัญญาหลุดพ้นความรับผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่าให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าก่อสร้างงวดที่ 4จำนวน 402,000 บาท ตามสัญญาจ้างทำของท้ายฟ้อง และโจทก์ได้บรรยายฟ้องเรื่องละเมิดมาด้วย โดยอ้างว่าการกระทำที่ผิดสัญญาเกิดจากการประพฤติมิชอบของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 กลั่นแกล้งโจทก์เช่นนี้แม้ในเรื่องละเมิดโจทก์จะนำสืบฟังไม่ได้ ก็หาทำให้จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นคู่สัญญาจ้างทำของหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาไปด้วยไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2078/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจพิจารณาคดีแรงงาน: การวินิจฉัยอำนาจของศาลแรงงานกลางต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย
เมื่อมีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานกลางและผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด แสดงว่าเกิดปัญหาแล้วว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลแรงงานกลางหรือไม่ ต้องตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 9 วรรคท้าย ที่บัญญัติให้อำนาจแก่อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเท่านั้นเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัย ผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางไม่มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาด การที่ศาลแรงงานกลางได้พิจารณาพิพากษาคดีไปก่อนมีคำวินิจฉัยชี้ขาดของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางส่งสำนวนให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเสียก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2078/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแรงงาน: การวินิจฉัยอำนาจพิจารณาต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงาน โดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลาง
เมื่อมีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานกลางและผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด แสดงว่าเกิดปัญหาแล้วว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลแรงงานกลางหรือไม่ ต้องตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 9 วรรคท้าย ที่บัญญัติให้อำนาจแก่อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเท่านั้นเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัย ผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางไม่มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาด การที่ศาลแรงงานกลางได้พิจารณาพิพากษาคดีไปก่อนมีคำวินิจฉัยชี้ขาดของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางส่งสำนวนให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเสียก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2057/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งบรรจุเฮโรอีนเข้าข่ายความผิดฐานผลิตยาเสพติด แม้เป็นการกระทำส่วนหนึ่งของการจำหน่าย
พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ให้คำนิยาม คำว่า"ผลิต" ให้หมายความรวมตลอด ถึง การแบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุด้วยการที่จำเลยที่ 1 เทเฮโรอีนจากหลอดใหญ่แบ่งใส่ห่อกระดาษเล็กแล้วเก็บเฮโรอีนขนาดเล็กทั้งหมดใส่ถุงพลาสติกขนาด ใหญ่ ดังนี้ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ แบ่งบรรจุอันเป็นการผลิตยาเสพติดให้โทษแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2038/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างเนื่องจากหย่อนสมรรถภาพและลาป่วย ถือเป็นการเลิกจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย
ตาม ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46ที่แก้ไขใหม่ระบุว่า การเลิกจ้างที่ นายจ้าง จะต้อง จ่ายค่าชดเชยให้แก่ ลูกจ้างซึ่ง เลิกจ้าง หมายถึง การที่ นายจ้าง ให้ลูกจ้างออกจากงานปลดออก หรือไล่ออกจากงาน โดย ที่ลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิดตามข้อ 47 แห่งประกาศดังกล่าว โดย มิได้มีข้อยกเว้นว่าการให้ออกจากงานเนื่องจากหย่อนสมรรถภาพในการทำงาน มีผลงานต่ำ กว่ามาตรฐาน มีวันลามาก ไม่ใช่เป็นการเลิกจ้าง ดังนั้น การที่จำเลยซึ่ง เป็นนายจ้างเลิกจ้างสามีโจทก์เพราะเหตุหย่อนสมรรถภาพในการทำงาน มีผลงานต่ำ กว่ามาตรฐาน และลาหยุดงานมากนั้น จึงเป็นการเลิกจ้างตาม ประกาศข้างต้นแล้ว จำเลยต้อง จ่ายค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้าง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2037/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าชดเชยกรณีเลิกจ้าง: การป่วยของลูกจ้างไม่ใช่เหตุให้ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยหากไม่ได้เกิดจากการกระทำของลูกจ้างเอง
ตาม ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(2)และ (5) ที่แก้ไขใหม่ ระบุว่านายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในกรณีลูกจ้างจงใจทำให้นายจ้างได้ รับความเสียหายหรือลูกจ้างประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้ รับความเสียหายอย่างร้ายแรงดังนี้การที่โจทก์ป่วยไม่สามารถปฏิบัติงานตาม หน้าที่ได้ ตาม ปกตินั้นเป็นเหตุที่เกิดขึ้นตาม สภาพร่างกายโดย ธรรมชาติ มิใช่เกิดจากการกระทำของโจทก์ ถือ ไม่ได้ว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยได้ รับความเสียหายหรือเป็นการกระทำโดย ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้ รับความเสียหาย เมื่อจำเลยเลิกจ้างจึงต้อง จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2036/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: เหตุผลความน่าไว้วางใจ vs. การกระทำทุจริตโดยตรง และสิทธิค่าชดเชย/บำเหน็จ
จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์มีพฤติการณ์ไม่น่าไว้วางใจส่อไปในทางทุจริตโดย หวัง ผลประโยชน์อันได้ ชื่อ ว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วร้ายแรง มิใช่เลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์กระทำการทุจริตโดยตรง ดังนี้จำเลยจึงไม่ต้องนำสืบถึง การกระทำทุจริตโดยตรงของโจทก์ จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์หาเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ไม่ ส่วนข้อกล่าวหาของจำเลยที่ว่าโจทก์ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงจะเป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีสิทธิได้ รับค่าชดเชยตาม ข้อบังคับหรือไม่นั้นย่อมอยู่ในดุลพินิจ ของศาลที่จะวินิจฉัยให้ตาม รูปคดี ดังนี้เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะพฤติการณ์ไม่น่าไว้วางใจ แต่ ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ กระทำผิดประการใด จำเลยจึงต้อง จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2036/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต ไม่ถือเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ
การที่จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริตโดยหวังผลประโยชน์อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง แสดงว่าจำเลยได้ เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุไม่ไว้วางใจโดยมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต มิใช่เลิกจ้างเพราะโจทก์กระทำทุจริตโดยตรง จำเลยจึงไม่ต้องนำสืบพยานถึงการกระทำทุจริตโดยตรงของโจทก์ เมื่อฟังได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุไม่ไว้วางใจจึงมิใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ข้อบังคับของจำเลยกำหนดว่าพนักงานที่ถูก ปลดออกจากงานจะไม่มีสิทธิได้ รับเงินบำเหน็จเพราะมีความผิด เมื่อจำเลยมีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากงานเพราะมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต ไม่ได้ปลดออกเพราะกระทำผิด โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ
ข้อบังคับของจำเลยกำหนดว่าพนักงานที่ถูก ปลดออกจากงานจะไม่มีสิทธิได้ รับเงินบำเหน็จเพราะมีความผิด เมื่อจำเลยมีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากงานเพราะมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต ไม่ได้ปลดออกเพราะกระทำผิด โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2036/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิจารณาจากเหตุผลที่จำเลยให้การต่อสู้คดี และสิทธิการรับเงินบำเหน็จ
การที่จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริตโดย หวังผลประโยชน์อันได้ชื่อ ว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง แสดงว่าจำเลยได้ เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุไม่ไว้วางใจโดย มีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต มิใช่เลิกจ้างเพราะโจทก์กระทำทุจริตโดยตรง จำเลยจึงไม่ต้องนำสืบพยานถึง การกระทำทุจริตโดยตรงของโจทก์ เมื่อฟังได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุไม่ไว้วางใจจึงมิใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ข้อบังคับของจำเลยกำหนดว่าพนักงานที่ถูก ปลดออกจากงานจะไม่มีสิทธิได้ รับเงินบำเหน็จเพราะมีความผิด เมื่อจำเลยมีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากงานเพราะมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต ไม่ได้ปลดออกเพราะกระทำผิด โจทก์จึงมีสิทธิได้ รับเงินบำเหน็จ.