พบผลลัพธ์ทั้งหมด 517 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิป้องกันตนเองเกินกว่าเหตุ: การใช้กำลังเกินความจำเป็นในการป้องกันตัว
จำเลยกับผู้ตายอยู่บ้านหลังเดียวกัน วันเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายร่วมวงดื่ม สุรากัน ผู้ตายเมาสุรา จึงมีผู้แยกผู้ตายไป ต่อมาผู้ตายกลับมาอีกถือ มีดทำครัวเข้ามาในห้องจำเลยในลักษณะจะใช้ มีดนั้นทำร้ายร่างกายจำเลย ผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจำเลย จำเลยจึงใช้ อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ การกระทำของผู้ตายเป็นภยันตรายต่อ จำเลย ซึ่ง เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อ กฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตนเองได้ แต่ ผู้ตายมีเพียงมีดทำครัว การที่จำเลยใช้ อาวุธปืนซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงยิงผู้ตายถึง ๕ นัด จึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการที่จำต้องทำเพื่อป้องกัน ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๙.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ: การใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ด้วยมีดครัว
จำเลยกับผู้ตายอยู่บ้านหลังเดียวกัน วันเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายร่วมวงดื่มสุรากัน ผู้ตายเมาสุรา จึงมีผู้แยกผู้ตายไป ต่อมาผู้ตายกลับมาอีกถือมีดทำครัวเข้ามาในห้องจำเลยในลักษณะจะใช้มีดนั้นทำร้ายร่างกายจำเลย ผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ การกระทำของผู้ตายเป็นภยันตรายต่อจำเลย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงจำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตนเองได้แต่ผู้ตายมีเพียงมีดทำครัว การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงยิงผู้ตายถึง 5 นัด จึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการที่จำต้องทำเพื่อป้องกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 582/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จทำให้ผู้อื่นถูกดำเนินคดี ถือเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ แม้ฟ้องไม่แนบเอกสารก็ไม่เคลือบคลุม
จำเลยนำบ้านของผู้อื่นมาขายให้โจทก์ โดยอ้างว่าเป็นของจำเลย โจทก์จึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนมีสาระสำคัญว่าสัญญาซื้อขายบ้านดังกล่าวล้มเลิก และจำเลยจะคืนเงินค่าซื้อบ้านให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์แจ้งความเท็จกล่าวหาว่าจำเลยฉ้อโกงโจทก์ ซึ่งข้อสาระสำคัญไม่ตรงกับข้อความที่โจทก์แจ้งไว้เป็นเหตุให้โจทก์ถูกจับกุมดำเนินคดี ดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
คำฟ้องบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่า จำเลยได้กระทำความผิดไว้พอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแม้ไม่แนบรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีของเจ้าพนักงานตำรวจมาด้วย ก็ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5).(ที่มา-ส่งเสริม)
คำฟ้องบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่า จำเลยได้กระทำความผิดไว้พอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแม้ไม่แนบรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีของเจ้าพนักงานตำรวจมาด้วย ก็ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5).(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 473/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุขอเลื่อนคดีต้องมีเหตุจำเป็นและชัดเจน การรับแจ้งจากสำนักงานอย่างเดียวไม่เพียงพอ
ทนายจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีด้วย เหตุเพียงแต่ได้รับแจ้งจากทางสำนักงานว่าจำเลยที่ 2 ติด ธุระจำเป็นอย่างรีบด่วนเท่านั้น ซึ่ง ทนายจำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้พบกับจำเลยที่ 2 และธุระจำเป็นอย่างรีบด่วนตาม ที่อ้างก็ไม่ปรากฏว่าเป็นอะไร ทั้งปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้ นัดสืบพยานจำเลยที่ 2 ไว้ล่วงหน้าราวหนึ่งเดือน ครึ่งอันเป็นเวลานานพอสมควรประกอบกับในวันนัดนั้นจำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้เตรียมพยานอื่นมาเลย พฤติการณ์ดังกล่าวถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2มีเหตุจำเป็นที่จะต้อง ขอเลื่อนคดีดัง ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 473/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุขอเลื่อนคดีต้องมีเหตุจำเป็นและพิสูจน์ได้ การได้รับแจ้งจากสำนักงานอย่างเดียวไม่เพียงพอ
ทนายจำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีด้วย เหตุเพียงแต่ได้รับแจ้งจากทางสำนักงานว่าจำเลยที่ ๒ ติด ธุระจำเป็นอย่างรีบด่วนเท่านั้น ซึ่ง ทนายจำเลยที่ ๒ ก็ไม่ได้พบกับจำเลยที่ ๒ และธุระจำเป็นอย่างรีบด่วนตาม ที่อ้างก็ไม่ปรากฏว่าเป็นอะไร ทั้งปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้ นัดสืบพยานจำเลยที่ ๒ ไว้ล่วงหน้าราวหนึ่งเดือน ครึ่งอันเป็นเวลานานพอสมควรประกอบกับในวันนัดนั้นจำเลยที่ ๒ ก็ไม่ได้เตรียมพยานอื่นมาเลย พฤติการณ์ดังกล่าวถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒มีเหตุจำเป็นที่จะต้อง ขอเลื่อนคดีดัง ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๐.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 473/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุขอเลื่อนคดีต้องมีเหตุจำเป็นและแจ้งล่วงหน้าเพียงพอ การได้รับแจ้งจากสำนักงานอย่างเดียวไม่เพียงพอ
ทนายจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีด้วยเหตุเพียงแต่ได้รับแจ้งจากทางสำนักงานว่าจำเลยที่ 2 ติดธุระจำเป็นอย่างรีบด่วนเท่านั้น ซึ่งทนายจำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้พบกับจำเลยที่ 2 และธุระจำเป็นอย่างรีบด่วนตามที่อ้างก็ไม่ปรากฏว่าเป็นอะไร ทั้งปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้นัดสืบพยานจำเลยที่ 2 ไว้ล่วงหน้าราวหนึ่งเดือนครึ่งอันเป็นเวลานานพอสมควร ประกอบกับในวันนัดนั้นจำเลยที่ 2ก็ไม่ได้เตรียมพยานอื่นมาเลย พฤติการณ์ดังกล่าวถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีเหตุจำเป็นที่จะต้องขอเลื่อนคดีดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายอาคารชุด: การชำระเงินค่างวดและการเริ่มก่อสร้าง ไม่ถือเป็นผิดสัญญาหากเริ่มก่อสร้างก่อนครบกำหนดชำระเงิน
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายอาคารชุด เมื่อวันที่28 พฤษภาคม 2525 ระบุว่าจำเลยที่ 1 จะดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2526 และโจทก์ผู้จะซื้อตกลงชำระเงินมัดจำให้ในวันทำสัญญาเป็นเงิน 210,000 บาท และจะชำระในช่วงระยะเวลาก่อสร้างอีก 2,160,000 บาท โดยแบ่งชำระเป็นงวดจำนวน 24 งวด ภายในวันที่ 28 ของทุกเดือน จนกระทั่งถึงวันที่ 28 พฤษภาคม 2527 ปรากฏว่าโจทก์ชำระเงินมัดจำแล้วแต่ไม่ได้ชำระเงินค่างวด เช่นนี้ ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยต้องดำเนินการก่อสร้างตามงวดการชำระเงิน จึงเป็นเพียงการกะประมาณเอาหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาโดยแท้จริง คือสร้างอาคารชุดให้เสร็จภายในเดือน ธันวาคม 2526 ทั้งปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างบริษัท ผ. ตอกเสาเข็มคอนกรีตอัดแรง ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2525 และก่อนหน้านั้นต้องเจาะสำรวจดินเพื่อหาข้อมูลในการปักเสาเข็มก่อน ผู้รับจ้างเจาะสำรวจดินทำงานล่าช้าไปประมาณเดือนครึ่งซึ่งเป็นปกติวิสัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อคำนวณดูแล้วอย่างน้อยจำเลยก็ได้ดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2525 ดังนี้จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืน.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขายอาคารชุด: การพิสูจน์ความผิดสัญญาและการริบเงินมัดจำ
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายอาคารชุด เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2525 ระบุว่าจำเลยที่ 1 จะดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2526 และโจทก์ผู้จะซื้อตกลงชำระเงินมัดจำให้ในวันทำสัญญาเป็นเงิน 210,000 บาท และจะชำระในช่วงระยะเวลาก่อสร้างอีก 2,160,000 บาท โดยแบ่งชำระเป็นงวดจำนวน 24 งวด ภายในวันที่ 28 ของทุกเดือน จนกระทั่งถึงวันที่28 พฤษภาคม 2527 โจทก์ชำระเงินมัดจำแล้วแต่ไม่ได้ชำระเงินค่างวดเช่นนี้ ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยต้องดำเนินการก่อสร้างตามงวดการชำระเงินจึงเป็นเพียงการกะประมาณเอา หน้าที่ของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาโดยแท้จริง คือสร้างอาคารชุดให้เสร็จภายในเดือนธันวาคม 2526ทั้งจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างบริษัท ผ. ตอกเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2525 และก่อนหน้านั้นต้องเจาะสำรวจดินเพื่อหาข้อมูลในการปักเสาเข็มก่อน ผู้รับจ้างเจาะสำรวจดินทำงานล่าช้าไปประมาณเดือนครึ่งซึ่งเป็นปกติวิสัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อคำนวณดูแล้วอย่างน้อยจำเลยก็ได้ดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2525 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6486/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยจากเงินขายทอดตลาด: การบังคับคดีไม่สมบูรณ์จนกว่าศาลฎีกาจะอ่านคำพิพากษา
เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยและผู้ค้ำประกันจำเลยที่โจทก์นำยึดไว้ จำเลยและผู้ค้ำประกันยื่นคำร้องคัดค้านให้ยกเลิกการขายและขอให้ขายใหม่ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งแล้ว จำเลยก็อุทธรณ์ฎีกา ทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่อาจจ่ายเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ได้ การที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ถือว่าการบังคับคดียังไม่เสร็จบริบูรณ์จนกว่าจะได้มีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยจากเงินที่ขายทอดตลาดได้ซึ่งเป็นจำนวนน้อยกว่าเงินต้นที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ จนถึงวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่คิดดอกเบี้ยดังกล่าวให้โจทก์นั้น โจทก์ไม่จำต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นภายใน 8 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี เพราะมิใช่เป็นเรื่องเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง แต่เป็นกรณีวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเมื่อใดและจำนวนเท่าใด กรณีจึงไม่ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่คิดดอกเบี้ยดังกล่าวให้โจทก์นั้น โจทก์ไม่จำต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นภายใน 8 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี เพราะมิใช่เป็นเรื่องเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง แต่เป็นกรณีวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเมื่อใดและจำนวนเท่าใด กรณีจึงไม่ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6486/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยจากการบังคับคดี: สิทธิการได้รับชำระหนี้จากเงินจากการขายทอดตลาดเมื่อการบังคับคดียังไม่เสร็จสิ้น
เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยและผู้ค้ำประกันจำเลยที่โจทก์นำยึดไว้ จำเลยและผู้ค้ำประกันยื่นคำร้องคัดค้านให้ยกเลิกการขายและขอให้ขายใหม่ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งแล้วจำเลยก็อุทธรณ์ฎีกา ทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่อาจจ่ายเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ได้ การที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ถือว่าการบังคับคดียังไม่เสร็จ สมบูรณ์จนกว่าจะได้มีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยจากเงินที่ขายทอดตลาดได้ซึ่งเป็นจำนวนน้อยกว่าเงินต้นที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์จนถึงวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่คิดดอกเบี้ยดังกล่าวให้โจทก์นั้นโจทก์ไม่จำต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นภายใน 8 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี เพราะมิใช่เป็นเรื่องเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง แต่เป็นกรณีวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเมื่อใดและจำนวนเท่าใด กรณีจึงไม่ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสอง