พบผลลัพธ์ทั้งหมด 517 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4679/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ชายตลิ่งเป็นสาธารณสมบัติ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ แม้จะครอบครองพื้นที่ก่อน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากพื้นไม้กระดานของโจทก์ซึ่งปลูกอยู่บนที่ชายตลิ่ง กับให้ใช้ค่าเสียหายจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่พิพาท เท่ากับฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ชายตลิ่งใต้พื้นไม้กระดานนั่นเอง แม้จะฟังว่าพื้นไม้กระดานบนที่พิพาทเป็นของโจทก์ก็ตาม แต่ที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่งอันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304(2) ผู้ใดหามีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองไม่ แม้โจทก์จะได้ครอบครองที่พิพาทมาก่อนแล้วยอมให้จำเลยใช้ที่พิพาทเพื่อวางสินค้าขาย ขนสินค้าลงไปบรรทุกเรือและขึ้นจากเรือ ก็จะถือว่าเป็นการมอบให้จำเลยครอบครองแทนหาได้ไม่เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทอยู่จำเลยย่อมมีสิทธิดีกว่าโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4678/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับหนี้จากการชำระหนี้ด้วยวิธีการอื่นแทนการชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
หลังจากจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายของเสาอากาศวิทยุให้โจทก์แล้ว โจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลย คงประสงค์ให้จำเลยซ่อมแซมและติดตั้งเสาอากาศวิทยุให้ใหม่เท่านั้น อุปกรณ์การซ่อมแซมของจำเลยรายใดไม่เป็นไปตามมาตรฐานของทางราชการ โจทก์ก็เร่งรัดให้จำเลยแก้ไขโดยไม่ได้เรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความแต่อย่างใด ประกอบกับเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ใช้เสาอากาศวิทยุที่จำเลยติดตั้งให้ใหม่มาโดยตลอด แสดงว่าโจทก์ยอมรับเอาเสาอากาศวิทยุที่จำเลยติดตั้งให้ใหม่แทนการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้ตกลงกันไว้ หนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจึงเป็นอันระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 321 วรรคแรก จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4678/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับหนี้จากการปฏิบัติการชำระหนี้โดยการซ่อมแซม เสาอากาศวิทยุ แทนการชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
หลังจากจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายของเสาอากาศวิทยุให้โจทก์แล้ว โจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลย คงประสงค์ให้จำเลยซ่อมแซมและติดตั้งเสาอากาศวิทยุให้ใหม่เท่านั้น อุปกรณ์การซ่อมแซมของจำเลยรายใดไม่เป็นไปตามมาตรฐานของทางราชการ โจทก์ก็เร่งรัดให้จำเลยแก้ไขโดยไม่ได้เรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความแต่อย่างใด ประกอบกับเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ใช้เสาอากาศวิทยุที่จำเลยติดตั้งให้ใหม่มาโดยตลอด แสดงว่าโจทก์ยอมรับเอาเสาอากาศวิทยุที่จำเลยติดตั้งให้ใหม่แทนการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้ตกลงกันไว้ หนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจึงเป็นอันระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคแรก จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4678/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับหนี้จากการชำระหนี้ด้วยวิธีการอื่นที่คู่กรณีรับทราบและยินยอม ถือเป็นการปลดเปลื้องภาระหนี้เดิม
จำเลยขับรถยนต์ชนลวดสลิง ที่ยึดโยงเสาอากาศวิทยุของโจทก์ทำให้เสาอากาศวิทยุล้มเสียหายใช้การไม่ได้ จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความยินยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่โจทก์ยอมรับเอาเสาอากาศวิทยุที่จำเลยติดตั้งใหม่แทนการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้ตกลงกันไว้ หนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจึงเป็นอันระงับสิ้นไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3997/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอายัดสิทธิเรียกร้อง: จำเลยมีหน้าที่ปฏิบัติตามหมายอายัด แม้มีคดีแรงงานอยู่
จำเลยเป็นลูกหนี้ของโจทก์ที่จะต้องชำระเงินบำเหน็จให้แก่โจทก์ เจ้าหนี้ของโจทก์ย่อมมีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยได้ ฉะนั้น ไม่ว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางแล้วหรือไม่ เมื่อจำเลยได้รับหมายอายัดชั่วคราวจากศาลแพ่ง จำเลยย่อมมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามหมายอายัดของศาลแพ่ง การที่จำเลยนำเงินบำเหน็จดังกล่าวไปวางต่อศาลแพ่ง จึงไม่เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต แต่ถือว่าเป็นการชำระหนี้ตามกฎหมายแล้ว
ข้อความในหมายอายัดที่ว่า ถ้ามีเหตุคัดค้านประการใดให้ยื่นคำคัดค้านภายในกำหนดเวลานั้น หมายความว่า หากจำเลยมีเหตุคัดค้านหมายอายัดในเหตุส่วนตัวของจำเลยเช่น จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามที่ถูกอายัด จำเลยก็อาจจะคัดค้านภายในกำหนดเวลานั้นได้แต่ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จริง จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะคัดค้าน และแม้จำเลยถูกโจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลแรงงานกลาง จำเลยก็ไม่มีหน้าที่ต้องคัดค้านการอายัดหรือนำเงินบำเหน็จมาวางต่อศาลแรงงานกลางแต่อย่างใด
ข้อความในหมายอายัดที่ว่า ถ้ามีเหตุคัดค้านประการใดให้ยื่นคำคัดค้านภายในกำหนดเวลานั้น หมายความว่า หากจำเลยมีเหตุคัดค้านหมายอายัดในเหตุส่วนตัวของจำเลยเช่น จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามที่ถูกอายัด จำเลยก็อาจจะคัดค้านภายในกำหนดเวลานั้นได้แต่ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จริง จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะคัดค้าน และแม้จำเลยถูกโจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลแรงงานกลาง จำเลยก็ไม่มีหน้าที่ต้องคัดค้านการอายัดหรือนำเงินบำเหน็จมาวางต่อศาลแรงงานกลางแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3997/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอายัดสิทธิเรียกร้องและการชำระหนี้ตามกฎหมาย แม้มีคดีแรงงานอยู่ระหว่างพิจารณา
จำเลยเป็นลูกหนี้ของโจทก์ที่จะต้องชำระเงินบำเหน็จให้แก่โจทก์เจ้าหนี้ของโจทก์ย่อมมีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยได้ ฉะนั้น ไม่ว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางแล้วหรือไม่ เมื่อจำเลยได้รับหมายอายัดชั่วคราวจากศาลแพ่ง จำเลยย่อมมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามหมายอายัดของศาลแพ่ง การที่จำเลยนำเงินบำเหน็จดังกล่าวไปวางต่อศาลแพ่ง จึงไม่เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตแต่ถือว่าเป็นการชำระหนี้ตามกฎหมายแล้ว ข้อความในหมายอายัดที่ว่า ถ้ามีเหตุคัดค้านประการใดให้ยื่นคำคัดค้านภายในกำหนดเวลานั้น หมายความว่า หากจำเลยมีเหตุคัดค้านหมายอายัดในเหตุส่วนตัวของจำเลย เช่น จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามที่ถูกอายัด จำเลยก็อาจจะคัดค้านภายในกำหนดเวลานั้นได้แต่ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จริง จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะคัดค้าน และแม้จำเลยถูกโจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลแรงงานกลาง จำเลยก็ไม่มีหน้าที่ต้องคัดค้านการอายัดหรือนำเงินบำเหน็จมาวางต่อศาลแรงงานกลางแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3994/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตและขัดข้อบัญญัติควบคุมอาคาร ศาลต้องบังคับรื้อถอนตามกฎหมาย
ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารฯข้อ 76(4) ระบุว่า การก่อสร้างอาคารตึกแถว ห้องแถวต้องมีที่ว่างด้านหลังอาคารไม่น้อยกว่า 2 เมตร เมื่อจำเลยต่อเติมดัดแปลงอาคารปกคลุมที่ว่างด้านหลังอาคารเดิมทำให้ไม่มีที่ว่างด้านหลังอาคารเดิมเหลืออยู่ อีกทั้งจำเลยต่อเติมดัดแปลงไปโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และอาคารที่ดัดแปลงแล้วนั้นไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ โจทก์จึงมีอำนาจสั่งให้รื้อถอนหรือร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนได้ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ มาตรา 42 วรรคแรก และวรรคสาม กรณีการต่อเติมดัดแปลงอาคารโดยมิได้รับอนุญาตและเป็นกรณีที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้นั้นพระราชบัญญัติคุมคุมอาคารฯ มาตรา 42 มิได้ให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจสั่งให้รื้อถอนเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือไม่ก็ได้เมื่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนศาลจำต้องบังคับให้มีการรื้อถอนอาคารที่ผิดกฎหมายนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3984/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมไม่สิ้นสุดแม้เจ้าของภารยทรัพย์เปลี่ยนมือ การจดทะเบียนภารจำยอมไม่ได้เป็นเงื่อนไขของการสิ้นสุดสิทธิ
โจทก์และผู้ใช้ประโยชน์จากที่ดินในซอยได้ใช้ซอยดังกล่าวเป็นทางสัญจรไปตามแนวเสาไฟฟ้า ซึ่งผ่านไปตามที่ดินพิพาทมาเกิน 10 ปีแล้ว ดังนี้ ที่ดินพิพาทย่อมเป็นทางภารจำยอม ภารจำยอมเป็นทรัพยสิทธิประเภทที่จำกัดตัดทอนกรรมสิทธิ์เป็นทรัพยสิทธิที่ผูกพันอยู่กับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นภารยทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นอันเป็นสามยทรัพย์ไม่ใช่ทรัพยสิทธิส่วนบุคคล ดังนั้นแม้เจ้าของภารยทรัพย์จะเปลี่ยนตัวไปก็ไม่ทำให้ภาระจำยอมสิ้นไป ภารจำยอมจะสิ้นไปก็ต่อเมื่อภารยทรัพย์สลายไปทั้งหมดหรือมิได้สิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1397หรือ 1399 มาตรา 1299 ที่บัญญัติว่า "สิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้นมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว" นั้น หมายความถึงแต่กรณีที่บุคคลได้มาโดยสุจริตซึ่งทรัพยสิทธิอันเดียวกันกับทรัพยสิทธิที่ยังไม่ได้จดทะเบียน การที่จำเลยอ้างการได้สิทธิประเภทกรรมสิทธิ์ในที่ดินภารยทรัพย์ จึงมิใช่การโต้เถียงกันในเรื่องการได้สิทธิในทรัพยสิทธิอันเดียวกันจำเลยจะยกการรับโอนกรรมสิทธิ์โดยเสียค่าตอบแทนและสุจริตขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อให้ภารจำยอมที่มีอยู่ในที่ดินพิพาทต้องสิ้นไปหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3978/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยจากการชำระหนี้ตามคำพิพากษา: เริ่มนับแต่วันพิพากษา แม้จำเลยวางเงินก่อนรับคำพิพากษา
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ บังคับ จำเลย โอน บ้าน พร้อม ที่ดิน ให้ แก่ โจทก์ ถ้า จำเลย ไม่สามารถ โอน ได้ ก็ ให้ ชดใช้ มูลค่า บ้าน และ ที่ดิน พร้อม ด้วย ดอกเบี้ย ศาลชั้นต้น ฟัง ว่า จำเลย ไม่สามารถ โอน บ้าน พร้อม ที่ดิน ให้ แก่ โจทก์ ได้ จึง พิพากษา ตาม คำขอ ของ โจทก์ ให้ จำเลย ชดใช้ มูลค่า บ้าน พร้อม ที่ดิน เป็น เงิน 300,000 บาท ดังนี้ สิทธิ ของ โจทก์ ที่ จะ ได้รับ ชำระหนี้ เป็น เงิน จึง เกิดขึ้น เมื่อ ศาล พิพากษา และ มี สิทธิ เรียก ดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปี นับแต่ วัน พิพากษา เป็นต้น ไป จำเลย ได้ นำ เงิน มา วางศาล เพื่อ ให้ โจทก์ รับ ไป ก่อน ศาลชั้นต้น มี คำพิพากษา แต่ ตาม คำแถลง ขอ วางเงิน ของ จำเลย มี ใจความ ว่า จำเลย นำ เงิน จำนวน 300,000 บาท มา วางศาล เพื่อ ให้ โจทก์ รับ ไป ทั้งนี้ เพื่อ ให้ กรณี พิพาท ระหว่าง โจทก์ และ จำเลย สิ้นสุด ลง โดย ไม่เป็น การ ยุ่งยาก เสีย เวลา ของ ศาล ดังนี้ เป็น การ ที่ จำเลย วางเงิน ต่อ ศาล โดย ไม่ยอม รับผิด ย่อม ไม่เป็นเหตุ ให้ ระงับ การ เสีย ดอกเบี้ย ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 136 วรรคสอง จำเลย หมด ภาระ เสีย ดอกเบี้ย ให้ โจทก์ เมื่อ โจทก์ รับ เงิน ที่ วาง ไป จาก ศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3948/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยจากการชำระหนี้หลังศาลพิพากษา แม้จำเลยวางเงินก่อน แต่ไม่ยอมรับผิด จึงยังต้องเสียดอกเบี้ย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนบ้านพร้อมที่ดินให้แก่โจทก์ถ้าจำเลยไม่สามารถโอนได้ก็ให้ชดใช้มูลค่าบ้านและที่ดินพร้อมด้วยดอกเบี้ย ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยไม่สามารถโอนบ้านพร้อมที่ดินให้แก่โจทก์ได้ จึงพิพากษาตามคำขอของโจทก์ให้จำเลยชดใช้มูลค่าบ้านพร้อมที่ดินเป็นเงิน 300,000 บาท ดังนี้สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับชำระหนี้เป็นเงินจึงเกิดขึ้นเมื่อศาลพิพากษา และมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันพิพากษาเป็นต้นไป จำเลยได้นำเงินมาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไปก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแต่ตามคำแถลงขอวางเงินของจำเลยมีใจความว่า จำเลยนำเงินจำนวน 300,000 บาท มาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไป ทั้งนี้ เพื่อให้กรณีพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยสิ้นสุดลงโดยไม่เป็นการยุ่งยากเสียเวลาของศาลดังนี้เป็นการที่จำเลยวางเงินต่อศาลโดยไม่ยอมรับผิดย่อมไม่เป็นเหตุให้ระงับการเสียดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 136 วรรคสองจำเลยหมดภาระเสียดอกเบี้ยให้โจทก์เมื่อโจทก์รับเงินที่วางไปจากศาล