คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ม. 4 (4)

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 23 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1132/2565

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ไม้แปรรูปหวงห้าม การพิสูจน์ไม้เก่าที่เคยเป็นสิ่งปลูกสร้าง และการรอการลงโทษ
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง เป็นเรื่องที่กฎหมายกําหนดให้เป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิพากษาไปโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไป มิได้หมายความว่าเมื่อจําเลยให้การรับสารภาพแล้วจะต้องพิพากษาลงโทษจําเลยเสมอไป คดีอาญาไม่ว่าจําเลยจะให้การเช่นใด ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาเสมอว่าจําเลยได้กระทำความผิดจริงหรือไม่ ถ้าศาลเห็นว่าจําเลยมิได้กระทำความผิดหรือการกระทำของจําเลยไม่เป็นความผิด ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง หรือหากศาลเห็นว่าสมควรให้มีการสืบพยานหลักฐานก่อนมีคําพิพากษาก็เป็นอำนาจของศาลที่จะมีคำสั่งเช่นนั้นได้ ประกอบขณะคดีนี้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ป่าไม้ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 106/2557 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน ซึ่งตามบทบัญญัติมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 (ที่แก้ไขใหม่) มีผลต่อการวินิจฉัยของศาลว่า ไม้ของกลางยังคงเป็นไม้หวงห้ามหรือไม่ ซึ่งหากไม่เป็นไม้หวงห้าม การกระทำของจําเลยก็ย่อมไม่เป็นความผิดอีกต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงมีอำนาจที่สั่งให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนพยานโจทก์และพยานจําเลยในประเด็นว่าไม้ของกลางเป็นไม้หวงห้ามหรือไม่ ได้ตาม ป.วิ.อ มาตรา 208 (1) ทั้ง พ.ร.บ.คุมประพฤติ พ.ศ. 2559 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้อำนาจศาลที่จะนําข้อเท็จจริงที่ปรากฏในรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยที่พนักงานคุมประพฤติส่งศาลมาประกอบการพิจารณาพิพากษาหรือเพื่อประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษที่จะลงแก่จําเลย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 สั่งให้ศาลชั้นต้นทำการสืบเสาะและพินิจจําเลยก่อนมีคําพิพากษา และพิจารณารายงานการสืบเสาะและพินิจแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงไม่แน่ชัดว่าไม้ของกลางยังเป็นไม้หวงห้ามต่อไปหรือไม่ จึงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานเพิ่มเติมในประเด็นถึงแหล่งที่มาของไม้ของกลาง แล้วนําข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการสืบพยานหลักฐานของโจทก์และจําเลยมาเป็นพยานหลักฐานในการวินิจฉัยคดี จึงไม่ขัดต่อ ป.วิ.อ. และ พ.ร.บ.คุมประพฤติ พ.ศ. 2559 ดังกล่าว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจําเลยฐานมีไม้จําปา ไม้ตาเสือและไม้หยีแปรรูปอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. เกินกว่า 0.20 ลูกบาศก์เมตร ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีคําขอให้ลงโทษจําเลยตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 73 จําเลยต่อสู้ว่าไม้แปรรูปของกลางส่วนที่เป็นไม้ใหม่เป็นไม้ที่ตัดมาจากที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ข ส่วนที่เป็นไม้เก่าได้มาจากการรื้อบ้านหลังเก่าที่ปลูกสร้างมาประมาณ 30 ปี เมื่อจําเลยให้การต่อสู้ดังกล่าว จําเลยจึงต้องนําสืบให้เห็นว่าไม้แปรรูปของกลางที่เป็นไม้ใหม่ ไม่ใช่ไม้หวงห้ามจึงจะเข้าข้อยกเว้นตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 50 (4) ส่วนไม้ของกลางที่เป็นไม้เก่าไม่ใช่ไม้แปรรูปตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4 (4) ซึ่งในประเด็นไม้แปรรูปที่เป็นไม้ใหม่นั้น จําเลยและ อ. ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ขายไม้แปรรูปของกลางให้แก่จําเลยเบิกความแต่เพียงลอย ๆ ว่า ไม้แปรรูปของกลางตัดมาจากที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินซึ่งมีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินแบบ ส.ป.ก. 4-01 ข โดยไม่มีข้อเท็จจริงใดมานําสืบสนับสนุนให้เห็นเช่นนั้น ทั้งภาพถ่ายที่จําเลยอ้างไม่ปรากฏตอไม้ที่จะบ่งชี้ถึงที่มาของไม้แปรรูปของกลาง และบางภาพปรากฏว่าเป็นต้นไม้ที่ถูกโค่นใหม่ ยังไม่มีการแปรรูปใด ๆ ทำให้เชื่อได้ว่ามีการโค่นต้นไม้ดังกล่าวภายหลังจากจําเลยถูกดำเนินคดีนี้แล้ว จึงยังฟังไม่ได้ว่าไม้แปรรูปของกลางที่เป็นไม้ใหม่ได้มาจากไม้ที่ปลูกขึ้นในที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ข ดังนั้น จึงต้องฟังว่าจําเลยมีไม้แปรรูปหวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต สำหรับไม้ของกลางที่เป็นไม้เก่าเป็นไม้ที่รื้อมาจากบ้านหลังเก่าของจําเลย ซึ่งตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4 (4) วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 31/2559 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ บัญญัติว่า "ไม้ที่อยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างหรืออยู่ในสภาพเป็นเครื่องใช้ ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่อยู่ในสภาพเช่นนั้น รวมทั้งไม้ที่เคยอยู่ในสภาพดังกล่าว และผู้ครอบครองพิสูจน์ได้ว่าได้เคยมีสภาพเช่นนั้นมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีสำหรับไม้อื่นที่มิใช่ไม้สัก และไม่น้อยกว่าสิบปีสำหรับไม้สัก มิให้ถือว่าเป็นไม้แปรรูป" ความในวรรคนี้มีความหมายว่า ไม้ที่มิให้ถือว่าเป็นไม้แปรรูปนั้นแยกได้เป็นสองอย่าง คือ ไม้ที่อยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างหรืออยู่ในสภาพเป็นเครื่องใช้ ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่อยู่ในสภาพเช่นนั้นอย่างหนึ่ง กับไม้ที่เคยอยู่ในสภาพดังกล่าว คือเคยเป็นสิ่งปลูกสร้างหรือเคยเป็นเครื่องใช้มาแล้วและผู้ครอบครองพิสูจน์ได้ว่าเคยมีสภาพเช่นนั้นมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีสำหรับไม้อื่นที่ไม่ใช้ไม้สัก และสิบปีสำหรับไม้สักอีกอย่างหนึ่ง ตามความในกฎหมายดังกล่าว ผู้ครอบครองจะต้องพิสูจน์แต่เฉพาะกรณีที่ไม้นั้นมิได้อยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างหรือมิได้อยู่ในสภาพเป็นเครื่องใช้แต่กล่าวอ้างว่าเคยมีสภาพเช่นนั้นมาแล้วเท่านั้น ข้อความที่ว่า "รวมทั้งไม้ที่เคยอยู่ในสภาพดังกล่าว และผู้ครอบครองพิสูจน์ได้ว่าเคยมีสภาพเช่นนั้นมาแล้ว" ย่อมแสดงชัดว่าในปัจจุบันไม้มิได้อยู่ในสภาพเช่นนั้นแล้ว โดยมีระยะเวลาไม่น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด คือ ห้าปีสำหรับไม้อื่นที่ไม่ใช่ไม้สัก และสิบปีสำหรับไม้สัก ดังนั้นไม้ของกลางที่เป็นไม้เก่านี้เป็นไม้ที่เคยอยู่ในสภาพสิ่งปลูกสร้างมาก่อน จึงมิใช่ไม้แปรรูปตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4 (4) การที่จําเลยมีไม้ของกลางในส่วนที่เป็นไม้เก่าไว้ในครอบครองจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 73 เมื่อไม้ของกลางที่อยู่ในความครอบครองของจําเลยมีทั้งไม้แปรรูปที่เป็นไม้หวงห้าม กับไม้ที่มีไว้ในครอบครองได้โดยไม่เป็นความผิด ซึ่งในส่วนของไม้แปรรูปของกลางที่เป็นไม้หวงห้ามนั้น เมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายที่โจทก์นําสืบมีจำนวนค่อนข้างมาก จําเลยเองก็ให้การไว้ในรายงานการสืบเสาะและพินิจจําเลยว่า ร. ไม่ทราบชื่อสกุล นําไม้จําปาแปรรูปจำนวน 50 แผ่น ไม้ตาเสือแปรรูปจำนวน 20 แผ่น และไม้หยีแปรรูปจำนวน 20 แผ่น มาขายให้แก่จําเลย ไม้แปรรูปของกลางที่เป็นไม้ใหม่จึงย่อมต้องมีปริมาตรเกินกว่า 0.20 ลูกบาศก์เมตร แต่เมื่อไม่ได้ความชัดว่าปริมาตรเกิน 2 ลูกบาศก์เมตร หรือไม่ ก็ต้องฟังในทางที่เป็นคุณแก่จําเลยว่า จําเลยมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่เกิน 2 ลูกบาศก์เมตร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3771/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองไม้แปรรูปผิดกฎหมาย แม้ทำเป็นเครื่องใช้แต่มีลักษณะผิดปกติวิสัย ถือเป็นไม้แปรรูปได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีไม้สักแปรรูปไว้ในความครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ แล้วจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันช่วยพาเอาไปเสียโดยนำขึ้นรถยนต์เคลื่อนที่จากท้องที่ตำบลก้อไปยังตำบลลี้ ตามฟ้องดังกล่าวโจทก์บรรยายชัดว่าจำเลยทั้งสองมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครอง แม้จะไม่ระบุว่านำไม้แปรรูปดังกล่าวมาในรูปโต๊ะ จำเลยก็สามารถเข้าใจและต่อสู้คดีได้โดยไม่หลงข้อต่อสู้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โต๊ะของกลางทำด้วยไม้สักซึ่งมีค่าราคาสูงแต่ทำอย่างหยาบ ดูจากภายนอกมีลักษณะเป็นเครื่องใช้แต่ก็สามารถถอดออกเป็นชิ้น ๆ ได้ไม่ยาก ปริมาตรเนื้อไม้มีจำนวนมากถึง0.149 ลูกบาศก์เมตร แม้โต๊ะตามภาพถ่ายที่จำเลยอ้างเป็นโต๊ะเช่นเดียวกับโต๊ะของกลางซึ่งมีใช้เป็นปกติอยู่ทั่วไปในท้องที่เกิดเหตุ โต๊ะดังกล่าวก็ทำอย่างหยาบ ๆ แสดงว่าไม่ได้มีไว้เพื่อใช้อย่างแท้จริง เป็นเรื่องผิดปกติวิสัย โต๊ะของกลางจึงถือได้ว่าเป็นไม้แปรรูป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3771/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองไม้แปรรูปโดยเจตนาเพื่อแปรรูป แม้ทำเป็นเครื่องใช้แต่มีปริมาณมากและผิดปกติวิสัย ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีไม้สักแปรรูปไว้ในความครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ แล้วจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันช่วยพาเอาไปเสียโดยนำขึ้นรถยนต์เคลื่อนที่จากท้องที่ตำบลก้อไปยังตำบลลี้ ตามฟ้องดังกล่าวโจทก์บรรยายชัดว่าจำเลยทั้งสองมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครอง แม้จะไม่ระบุว่านำไม้แปรรูปดังกล่าวมาในรูปโต๊ะจำเลยก็สามารถเข้าใจและต่อสู้คดีได้โดยไม่หลงข้อต่อสู้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โต๊ะของกลางทำด้วยไม้สักซึ่งมีค่าราคาสูงแต่ทำอย่างหยาบดูจากภายนอกมีลักษณะเป็นเครื่องใช้แต่ก็สามารถถอดออกเป็นชิ้น ๆได้ไม่ยาก ปริมาตรเนื้อไม้มีจำนวนมากถึง 0.149 ลูกบาศก์เมตรแม้โต๊ะตามภาพถ่ายที่จำเลยอ้างเป็นโต๊ะเช่นเดียวกับโต๊ะของกลางซึ่งมีใช้เป็นปกติอยู่ทั่วไปในท้องที่เกิดเหตุ โต๊ะดังกล่าวก็ทำอย่างหยาบ ๆ แสดงว่าไม่ได้มีไว้เพื่อใช้อย่างแท้จริง เป็นเรื่องผิดปกติวิสัย โต๊ะของกลางจึงถือได้ว่าเป็นไม้แปรรูป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3430/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำแนกไม้แปรรูปจากสภาพการติดตั้งในสิ่งปลูกสร้างชั่วคราว
ไม้ของกลางที่รื้อมาจากบ้านของจำเลยบางส่วน เฉพาะส่วนที่เป็นฝาชั้นบนและชั้นล่างหนา 1 นิ้วบ้าง 5 กระเบียดบ้าง ไม่ได้ไสกบและตีตะปูไว้เพียงหัวท้าย สามารถรื้อออกจากตัวบ้านได้ง่าย ไม้ฝาชั้นล่างก็เพียงตีทาบไว้ระหว่างเสาไม้ ไม่มีลักษณะเป็นฝาที่ป้องกันอะไรได้ ส่วนที่เป็นไม้พื้นก็ไม่มีลักษณะเป็นไม้พื้นถาวร ไม่อยู่ภายในกรอบของตัวบ้านไม้ของกลางมีลักษณะเป็นไม้ที่อยู่ในสภาพพรางว่าเป็นสิ่งปลูกสร้าง หรืออยู่ในสภาพสิ่งปลูกสร้างอันไม่ชอบด้วยลักษณะสิ่งปลูกสร้างทั่ว ๆ ไป จึงเป็นไม้แปรรูป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3430/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ไม้แปรรูปตามกฎหมายป่าไม้: ลักษณะการติดตั้งที่ไม่ถาวร ทำให้ไม้ดังกล่าวเข้าข่ายเป็นไม้แปรรูป
ไม้ของกลางที่รื้อมาจากบ้านของจำเลยบางส่วน เฉพาะส่วนที่เป็นฝาชั้นบนและชั้นล่างหนา 1 นิ้วบ้าง 5 กระเบียดบ้าง ไม่ได้ไสกบ และตีตะปูไว้เพียงหัวท้าย สามารถรื้อออกจากตัวบ้านได้ง่าย ไม้ฝาชั้นล่างก็เพียงตีทาบไว้ระหว่างเสาไม้ ไม่มีลักษณะเป็นฝาที่ป้องกันอะไรได้ ส่วนที่เป็นไม้พื้นก็ไม่มีลักษณะเป็นไม้พื้นถาวร ไม่อยู่ภายในกรอบของตัวบ้านไม้ของกลางมีลักษณะเป็นไม้ที่อยู่ในสภาพพรางว่าเป็นสิ่งปลูกสร้าง หรืออยู่ในสภาพสิ่งปลูกสร้างอันไม่ชอบด้วยลักษณะสิ่งปลูกสร้างทั่ว ๆ ไป จึงเป็นไม้แปรรูป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2597/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ไม้แปรรูปสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้าง ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
ไม้ของกลาง 19 แผ่นวางเรียงทำเป็นพื้นบ้าน มีห้องนอนห้องครัว และห้องเก็บของ ส่วนไม้ที่เหลืออีก 7 แผ่นใช้ทำเป็นฝาโรงเก็บข้าวโพด การที่ไม้ดังกล่าวยังไม่ได้ไสกบให้เรียบหรือการที่จำเลยเพิ่งตอกตะปูไม้พื้นภายหลังถูกจับแล้ว ก็อาจเป็นเพราะบ้านปลูกอยู่ในชนบทและจำเลยยากจน บ้านหลังนี้มีทะเบียนบ้าน จำเลยปลูกและอาศัยอยู่กับบุตรภรรยาเป็นเวลานานถึงประมาณ 6 ปีแล้ว ไม่มีพฤติการณ์ที่น่าสงสัยว่า ไม้ของกลางจะอยู่ในสภาพพรางว่าเป็นสิ่งปลูกสร้าง เมื่อไม้ของกลางอยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างก็ไม่ใช่ไม้แปรรูปตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4(4) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 116 ลงวันที่10 เมษายน พ.ศ.2515 ข้อ1 การมีไม้ของกลางดังกล่าวไว้ในความครอบครองจึงไม่เป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2597/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ไม้แปรรูปในสภาพสิ่งปลูกสร้าง ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ หากไม่มีเจตนาพราง
ไม้ของกลาง 19 แผ่นวางเรียงทำเป็นพื้นบ้าน มีห้องนอน ห้องครัว และห้องเก็บของ ส่วนไม้ที่เหลืออีก 7 แผ่น ใช้ทำเป็นฝากโรงเก็บข้าวโพด การที่ไม้ดังกล่าวยังไม่ได้ไสกบให้เรียบหรือการที่จำเลยเพิ่งตอกตะปูไม้พื้นภายหลังถูกจับแล้ว ก็อาจเป็นเพราะบ้านปลูกอยู่ในชนบทและจำเลยยากจน บ้านหลังนี้มีทะเบียนบ้าน จำเลยปลูกและอาศัยอยู่กับบุตรภรรยาเป็นเวลานานถึงประมาณ 6 ปีแล้ว ไม่มีพฤติการณ์ที่น่าสงสัยว่า ไม้ของกลางจะอยู่ในสภาพพรางว่าเป็นสิ่งปลูกสร้าง เมื่อไม้ของกลางอยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างก็ไม่ใช่ไม้แปรรูปตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4 (4) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 116 ลงวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2515 ข้อ 1 การมีไม้ของกลางดังกล่าวไว้ในความครอบครองจึงไม่เป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1490/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ไม้แปรรูปเป็นเครื่องใช้: การพิจารณาว่าเครื่องใช้ทำจากไม้แปรรูปนั้นชอบด้วยลักษณะการใช้งานทั่วไปหรือไม่ เพื่อตัดสินว่าเป็นไม้แปรรูปตามกฎหมายหรือไม่
ไม้สักของกลางทำเป็นถาดแบบฝักถั่ว ทำขึ้นเพื่อใส่อาหารมีรูปร่างเช่นเดียวกับถาดที่สำเร็จรูปแล้ว แม้จะยังไม่ขัดน้ำมันอย่างเช่นถาดสำเร็จรูป แต่เมื่อไม่อาจนำไปเปลี่ยนแปลงทำเป็นสิ่งอื่นต่อไปได้ และใช้ใส่อาหารได้แล้ว ไม้สักของกลางจึงมีสภาพเป็นเครื่องใช้ แต่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4(4) ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 116 ข้อ 1 นั้น แม้ไม้สักของกลางมีสภาพเป็นเครื่องใช้ แต่ถ้าเครื่องใช้นั้นเป็นเครื่องใช้ที่ไม่ชอบด้วยลักษณะของเครื่องใช้ที่ใช้เป็นปกติในท้องที่นั้นหรือที่ผิดปกติวิสัยแล้ว ไม้สักของกลางก็ยังคงเป็นไม้แปรรูปอยู่ เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงข้อนี้มาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาจึงยังไม่พอที่จะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า ไม้สักของกลางยังเป็นไม้แปรรูปตามกฎหมายอยู่หรือไม่ ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรก็ชอบที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงข้อนี้ไปได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อน และฟังว่าไม้สักของกลางเป็นเครื่องใช้ที่ชอบด้วยลักษณะของเครื่องใช้ที่ใช้เป็นปกติในท้องที่นั้น และไม่ผิดปกติวิสัย จึงไม่เป็นไม้แปรรูป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1424/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความ 'ไม้แปรรูป' ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้: ลักษณะเครื่องใช้ต้องสอดคล้องกับท้องถิ่น
ไม้สักของกลางเป็นแผ่นกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 10 นิ้ว หนา 1 นิ้ว เซาะร่องที่ขอบโดยรอบร่องลึกประมาณครึ่งนิ้ว ขัดและทาน้ำมันทุกแผ่น มีลักษณะผิดจากเขียงที่ใช้กันอยู่ในท้องที่เกิดเหตุ แม้จะมีผู้ซื้อไปใช้แทนเขียง ก็ไม่ใช่เขียงที่คนในท้องถิ่นนั้นใช้กัน ถือว่ายังเป็นไม้แปรรูปอยู่ มิใช่เครื่องใช้
ความในวรรคสองของมาตรา 4 (4) แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 หาใช่บทยกเว้นความในวรรคแรกไม่ คำว่าเครื่องใช้ในวรรคสองนี้หมายความว่า เครื่องใช้ที่ชอบด้วยลักษณะของเครื่องใช้ที่ใช้เป็นปกติในท้องที่นั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1424/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ไม้แปรรูป vs. เครื่องใช้: การพิจารณาลักษณะการใช้งานจริงในท้องถิ่นเพื่อตัดสินความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
ไม้สักของกลางเป็นแผ่นกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 10 นิ้ว หนา 1 นิ้ว เซาะร่องที่ขอบโดยรอบร่องลึกประมาณครึ่งนิ้ว ขัดและทาน้ำมันทุกแผ่น มีลักษณะผิดจากเขียงที่ใช้กันอยู่ในท้องที่เกิดเหตุ แม้จะมีผู้ซื้อไปใช้แทนเขียงก็ไม่ใช่เขียงที่คนในท้องถิ่นนั้นใช้กัน ถือว่ายังเป็นไม้แปรรูปอยู่ มิใช่เครื่องใช้
ความในวรรคสองของมาตรา 4(4) แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 หาใช่บทยกเว้นความในวรรคแรกไม่ คำว่าเครื่องใช้ในวรรคสองนี้หมายความว่า เครื่องใช้ที่ชอบด้วยลักษณะของเครื่องใช้ที่ใช้เป็นปกติในท้องที่นั้น
of 3