พบผลลัพธ์ทั้งหมด 876 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3019/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเท็จและคำพิพากษาศาลที่อาศัยข้อมูลเท็จ โจทก์ต้องแสดงความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อสิทธิของตนเอง
คดีก่อนจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าที่ดินโฉนด เลขที่ 5072 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ล. ย. และ ป. ต่อมา ย. และ ป.ยกที่ดินเฉพาะ ส่วนของตน ให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ โจทก์มาฟ้องคดีนี้อ้างว่าจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จในคดีก่อนเป็น 2 ประการ คือคำเบิกความที่ว่า ย. และ ป. มีกรรมสิทธิ์ภายในที่ดินโฉนด เลขที่ 5072ด้วย ประการหนึ่งและคำเบิกความที่ว่า ย. และ ป. ยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ได้ ครอบครองโดย สงบ เปิดเผย ด้วย เจตนาเป็นเจ้าของติดต่อ กันเกิน 10 ปีแล้ว อีกประการหนึ่งในการไต่สวนมูลฟ้องคดีนี้ได้ความว่า ย. และ ป. มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวโดย การแบ่งแยกการครอบครองแล้ว ดังนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าคำเบิกความของจำเลยทั้งสองในประการแรกเป็นความเท็จและเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ไม่ได้เข้าเป็นคู่ความในคดีก่อนและคำฟ้องโจทก์ในคดีนี้ก็มิได้กล่าวว่าโจทก์มีส่วนได้เสียหรือมีสิทธิในที่ดินของ ย. และ ป. อย่างไร คำเบิกความของจำเลยทั้งสองในประการที่ 2 จึงไม่กระทบกระเทือนถึง สิทธิของโจทก์ และคำฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏเหตุที่ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์ได้ รับความเสียหายจากคำเบิกความของจำเลยทั้งสอง ข้อที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินส่วนของ ย. และ ป. นั้น เป็นการนำสืบนอกเหนือจากที่กล่าวในฟ้องคำเบิกความของจำเลยทั้งสองที่บางส่วนไม่เป็นเท็จบางส่วนไม่ทำให้โจทก์เสียหายเช่นนี้คดีโจทก์จึงไม่มีมูล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3019/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องเท็จต้องทำให้เกิดความเสียหายและเกี่ยวข้องกับสิทธิของผู้ฟ้อง จึงจะประทับฟ้องได้
คดีก่อนจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 5072 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ล. ย. และ ป. ต่อมา ย. และ ป. ยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ โจทก์มาฟ้องคดีนี้อ้างว่าจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จในคดีก่อนเป็น 2 ประการ คือคำเบิกความที่ว่า ย. และ ป. มีกรรมสิทธิ์ภายในที่ดินโฉนดเลขที่ 5072 ด้วยประการหนึ่งและคำเบิกความที่ว่า ย. และ ป. ยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ได้ ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกิน 10 ปีแล้ว อีกประการหนึ่งในการไต่สวนมูลฟ้องคดีนี้ได้ความว่า ย. และ ป. มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวโดยการแบ่งแยกการครอบครองแล้ว ดังนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าคำเบิกความของจำเลยทั้งสองในประการแรกเป็นความเท็จและเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ไม่ได้เข้าเป็นคู่ความในคดีก่อน และคำฟ้องโจทก์ในคดีนี้ก็มิได้กล่าวว่าโจทก์มีส่วนได้เสียหรือมีสิทธิในที่ดินของ ย. และ ป. อย่างไร คำเบิกความของจำเลยทั้งสองในประการที่ 2 จึงไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ และคำฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏเหตุที่ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากคำเบิกความของจำเลยทั้งสอง ข้อที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินส่วนของ ย.และ ป. นั้น เป็นการนำสืบนอกเหนือจากที่กล่าวในฟ้องคำเบิกความของจำเลยทั้งสองที่บางส่วนไม่เป็นเท็จบางส่วนไม่ทำให้โจทก์เสียหายเช่นนี้คดีโจทก์จึงไม่มีมูล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3016/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานก่อน หากเลิกจ้างแล้วค่อยขออนุญาต ศาลไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง
ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 52 นั้น นายจ้างจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานก่อนเสมอจึงจะเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างได้ ทั้งนี้ไม่ว่ากรณีจะเป็นการเลิกจ้างจากเหตุอันใด การที่ต่อมาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้เลิกจ้างในภายหลังและให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันเลิกจ้างนั้นไม่มีผลให้จำเลยพ้นผิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3016/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานก่อน แม้ศาลจะอนุญาตภายหลัง ก็ไม่ทำให้ความผิดนั้นสิ้นสุด
ตาม บทบัญญัติมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 ไม่ว่าจะเป็นการเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างด้วย เหตุอันใดนายจ้างจะต้องได้ รับอนุญาตจากศาลแรงงานเสียก่อนเสมอจึงจะเลิกจ้างได้ จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ร่วมซึ่ง เป็นกรรมการลูกจ้าง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2529 โดย มิได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานกลางก่อนเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 ต้อง รับโทษตาม มาตรา 143 และต้องถือ ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่ วันดังกล่าว แม้ต่อมาภายหลังจำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องต่อ ศาลแรงงานกลางขออนุญาตเลิกจ้างโจทก์ร่วมและศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ร่วมโดย ให้มีผลย้อนหลังไปถึง วันที่ 19 พฤษภาคม 2529 ก็ตาม ก็ไม่มีผลให้การกระทำของจำเลยทั้งสองที่เป็นความผิดอยู่แล้วกลายเป็นการกระทำที่ไม่เป็นความผิดไปได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3016/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างต้องได้รับอนุญาตศาลก่อน แม้ศาลอนุญาตย้อนหลังก็ไม่ทำให้ความผิดหมดไป
ตามบทบัญญัติมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ไม่ว่าจะเป็นการเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างด้วยเหตุอันใด นายจ้างจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานเสียก่อนเสมอจึงจะเลิกจ้างได้
จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ร่วมซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2529 โดยมิได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานกลางก่อน เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ต้องรับโทษตาม มาตรา 143 และต้องถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่วันดังกล่าว แม้ต่อมาภายหลังจำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางขออนุญาตเลิกจ้างโจทก์ร่วม และศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ร่วมโดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2529 ก็ตาม ก็ไม่มีผลให้การกระทำของจำเลยทั้งสองที่เป็นความผิดอยู่แล้วกลายเป็นการกระทำที่ไม่เป็นความผิดไปได้
จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ร่วมซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2529 โดยมิได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานกลางก่อน เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ต้องรับโทษตาม มาตรา 143 และต้องถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่วันดังกล่าว แม้ต่อมาภายหลังจำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางขออนุญาตเลิกจ้างโจทก์ร่วม และศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ร่วมโดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2529 ก็ตาม ก็ไม่มีผลให้การกระทำของจำเลยทั้งสองที่เป็นความผิดอยู่แล้วกลายเป็นการกระทำที่ไม่เป็นความผิดไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2588/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ราคาแท้จริงนำเข้า: ราคาสำแดงครั้งสุดท้ายก่อนพิพาทเป็นเกณฑ์ หากราคาลดลงผิดปกติ ศาลไม่รับฟังเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผล
โจทก์นำเข้าฝาขวดอลูมิเนียมชนิด 1.5 และ 2.5 ออนซ์ จากบริษัทผู้จำหน่ายในต่างประเทศ ครั้งสุดท้ายก่อนเกิดกรณีพิพาทได้สำแดงราคาไว้ 104.18 และ 110.80 เหรียญสิงคโปร์ ต่อหนึ่งพันฝา ซึ่งการประเมินราคาดังกล่าวไม่มีปัญหาระหว่างโจทก์และจำเลย จึงต้องถือว่าราคาที่สำแดงไว้ในคราวสุดท้ายก่อนเกิดกรณีพิพาทโจทก์จำเลยยอมรับว่าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด ต่อมาโจทก์นำเข้าฝาขวดอลูมิเนียมทั้งสองขนาดดังกล่าวอันเป็นครั้งพิพาทรวม 9 ครั้ง ระยะเวลาที่นำเข้าแต่ละครั้งห่างจากที่โจทก์นำเข้าครั้งสุดท้ายประมาณ 5 ถึง 11 เดือนโดยโจทก์สำแดงราคาสินค้าเท่ากันทุกครั้ง คือ ชนิด 1.5 และ 2.5 ออนซ์ราคา 62.80 และ 78.10 เหรียญสิงคโปร์ต่อหนึ่งพันฝา ซึ่งเป็นราคาที่ลดลงมากกว่าปกติ โดยไม่มีข้อเท็จจริงที่จะชี้ ให้เห็นว่าราคาที่ลดลงมานั้นเป็นราคาแท้จริงในท้องตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปจากราคาเดิมกรณีจึงต้องถือว่าราคาแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าที่โจทก์นำเข้าในคราวที่เป็นกรณีพิพาทกันในคดีนี้มีราคาเท่ากับนำเข้าครั้งสุดท้าย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2548-2549/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาห้ามแข่งขันหลังพ้นสภาพงาน: ข้อจำกัดที่ชอบธรรมและการรักษาสิทธิทางธุรกิจ
สัญญาที่บริษัทโจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นลูกจ้างว่าภายในกำหนดเวลา 24 เดือน นับแต่สัญญาจ้างสิ้นสุดลง ลูกจ้างจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือดำเนินการไม่ว่าจะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการพัฒนาทำ ผลิต หรือจำหน่าย (สุดแต่จะพึงปรับได้กับกรณีของลูกจ้าง) ซึ่งผลิตภัณฑ์อันเป็นการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ตนเคยมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วยในระหว่างที่ทำงานกับบริษัท โดยไม่ได้รับความยินยอมจากบริษัท สัญญาดังกล่าวไม่ได้ห้ามจำเลยทั้งสองไม่ให้กระทำโดยเด็ดขาด คงห้ามเฉพาะสิ่งที่เป็นการแข่งขันกับงานของโจทก์ และในส่วนของงานที่จำเลยเคยทำกับโจทก์ทั้งเป็นการห้ามเพียงตามกำหนดระยะเวลาดังกล่าวข้างต้นเท่านั้นไม่เป็นการตัดการประกอบอาชีพของจำเลยทั้งหมดเสียทีเดียวจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่รักษาสิทธิและประโยชน์ของคู่กรณีในเชิงการประกอบธุรกิจโดยชอบ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่เป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2548-2549/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาห้ามแข่งขันหลังพ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง: ข้อจำกัดต้องสมเหตุสมผล ไม่ตัดสิทธิประกอบอาชีพโดยสิ้นเชิง
สัญญาที่บริษัทโจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นลูกจ้างว่าภายในกำหนดเวลา 24 เดือน นับแต่สัญญาจ้างสิ้นสุดลง ลูกจ้างจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือดำเนินการไม่ว่าจะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการพัฒนา ทำ ผลิต หรือจำหน่าย (สุดแต่ จะพึงปรับได้ กับกรณีของลูกจ้าง) ซึ่งผลิตภัณฑ์อันเป็นการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทโจทก์ที่ตนได้เคยมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วยในระหว่างที่ทำงานกับบริษัทโจทก์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากบริษัทโจทก์ สัญญาดังกล่าวไม่ได้ห้ามจำเลยทั้งสองไม่ให้กระทำโดยเด็ดขาด คงห้ามจำเลยเฉพาะสิ่งที่เป็นการแข่งขันกับงานของบริษัทโจทก์ และในส่วนของงานที่จำเลยเคยทำกับบริษัทโจทก์ ทั้งเป็นการห้ามเพียงตามกำหนดระยะเวลาดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น ไม่เป็นการตัดการประกอบอาชีพของจำเลยทั้งหมดเสียทีเดียว จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่รักษาสิทธิและประโยชน์ของคู่กรณีในเชิงการประกอบธุรกิจโดยชอบไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่เป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2548-2549/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาแข่งขันหลังพ้นสภาพงาน: ข้อตกลงไม่ตัดสิทธิประกอบอาชีพโดยสิ้นเชิง ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
ข้อสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองความว่า "9. ลูกจ้างให้สัญญาว่าจะไม่กระทำการต่อไปนี้โดยมิได้รับความยินยอมจากบริษัท...(ข) ภายในกำหนดเวลา 24 เดือน นับแต่สัญญาจ้างสิ้นสุดลง...(2) เข้าไปเกี่ยวข้องหรือดำเนินการไม่ว่าจะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการพัฒนา ทำ ผลิต หรือจำหน่าย ซึ่งผลิตภัณฑ์อันเป็นการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทซึ่งตนได้เคยมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วยในระหว่างที่ทำงานกับบริษัท" มิได้เป็นการห้ามจำเลยทั้งสองมิให้กระทำโดยเด็ดขาด จำเลยทั้งสองอาจกระทำได้เมื่อได้รับความยินยอมจากโจทก์ และเฉพาะส่วนของงานที่จำเลยทั้งสองเคยทำกับโจทก์ ทั้งกำหนดเวลาที่ห้ามไว้ก็เพียง 24 เดือนนับแต่จำเลยทั้งสองพ้นจากการเป็นลูกจ้างโจทก์เท่านั้น ลักษณะของข้อสัญญาที่ก่อให้เกิดหนี้ในการงดเว้นการกระทำที่กำหนดโดยเจตนาของคู่กรณีเช่นนี้ ไม่เป็นการตัดการประกอบอาชีพของจำเลยทั้งสองทั้งหมด เพียงแต่เป็นการห้ามประกอบอาชีพบางอย่างที่เป็นการแข่งขันกับโจทก์ในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น และกำหนดไว้ไม่นานเกินสมควร เป็นสัญญาต่างตอบแทนที่รักษาสิทธิและประโยชน์ของคู่กรณีที่เป็นไปโดยชอบในเชิงของการประกอบธุรกิจ ไม่เป็นการปิดการทำมาหาได้ของฝ่ายใดโดยเด็ดขาดจนไม่อาจดำรงอยู่ได้ข้อสัญญาดังกล่าวจึงไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน มีผลใช้บังคับกันได้ไม่เป็นโมฆะ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2541/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วัตถุประสงค์การนิคมอุตสาหกรรมเป็นการแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ ไม่ต้องใช้ความเห็นผู้เชี่ยวชาญ
ตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ. การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยฯมีข้อความกำหนดวัตถุประสงค์การจัดตั้งการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งเห็นได้อยู่ในตัวว่าเป็นการแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ ดังนี้ ศาลย่อมวินิจฉัยว่าจำเลยมีวัตถุประสงค์แสวงกำไรในทางเศรษฐกิจ โดยมิต้องให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญในทางเศรษฐศาสตร์ มาให้ความเห็นก่อนเพราะเป็นเรื่องการแปล กฎหมาย มิใช่ข้อเท็จจริง.