คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อุดม เฟื่องฟุ้ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 876 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 552/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: ผลผูกพันระงับข้อเรียกร้องทั้งหมด
โจทก์ฟ้องและจำเลยฟ้องแย้งเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งชำระเงินแก่ตน ครั้นถึงวันนัดสืบพยาน คู่ความยอมตกลงกันตามที่ศาลแรงงานกลางไกล่เกลี่ย ศาลแรงงานกลางจัดทำสัญญาประนีประนอมยอมความและได้มีคำพิพากษาตามยอม ในวันนั้นตามข้อ 2 แห่งสัญญาประนีประนอมยอมความได้ระบุไว้ว่า โจทก์จำเลยต่างไม่ติดใจเรียกร้องอื่นใดกันอีก ซึ่งหมายความว่า จำเลยได้สละข้อเรียกร้องของตนตามฟ้องแย้งแล้ว ถือว่าข้อเรียกร้องตามฟ้องแย้งของจำเลยได้ระงับสิ้นไปด้วยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 และคำพิพากษาตามยอมของศาลแรงงานกลาง ได้พิพากษารวมถึงข้อเรียกร้องตามฟ้องแย้งของจำเลยด้วยแล้ว ศาลแรงงานกลางจึงไม่จำต้องมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยอีก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 552/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความครอบคลุมฟ้องแย้ง ยุติข้อเรียกร้องทั้งหมด
โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยฟ้องเรียกเงินจากจำเลย จำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง และฟ้องแย้งให้โจทก์ใช้เงินแก่จำเลยในวันนัดสืบพยานคู่ความตกลงกันได้โดยขอให้ศาลทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 1ระบุว่า จำเลยยอมใช้เงินแก่โจทก์ ส่วน ข้อ 2 ระบุว่า โจทก์จำเลยต่างไม่ติดใจเรียกร้องอื่นใดอีก ดังนี้ ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยได้สละข้อเรียกร้องของตนตามฟ้องแย้งแล้ว ข้อเรียกร้องตามฟ้องแย้งของจำเลยได้ระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 852 และคำพิพากษาตามยอมของศาลแรงงานกลางก็เป็นการพิพากษารวมถึงข้อเรียกร้องตามฟ้องแย้งของจำเลยด้วยแล้ว จำเลยจะขอให้ศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษา หรือคำสั่งในส่วนเกี่ยวกับ ฟ้องแย้งของจำเลย ต่อไปมิได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 521/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เกษียณอายุและการเลิกจ้าง: การจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
ตาม พ.ร.บ.คุณสมบัติสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจฯมาตรา 911 ที่บัญญัติว่าพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ถือว่าขาดคุณสมบัติและเป็นอันพ้นจากตำแหน่งนั้น เป็นการกำหนดคุณสมบัติโดยทั่ว ๆ ไปของพนักงานและเป็นบทบัญญัติให้รัฐวิสาหกิจผู้เป็นนายจ้างถือเป็นแนวเดียวกัน ส่วนจะเป็นการเลิกจ้างหรือไม่ต้องพิจารณาตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานฯข้อ 46 วรรคสอง ดังนั้นการที่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะอายุ 60 ปี จึงเป็นการเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ดังกล่าว จำเลยผู้เป็นนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 391/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาของผู้ขอประกัน พิจารณาจากกฎหมายในวันยื่นฎีกา แม้ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว
การพิจารณาว่าผู้ขอประกันมีสิทธิฎีกาได้หรือไม่เพียงไรต้องพิจารณาตามบทกฎหมายและสิทธิในวันยื่นฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ขอประกัน และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน สิทธิของผู้ขอประกันจึงเป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119ที่แก้ไขและมีผลใช้บังคับก่อนวันที่ที่ผู้ขอประกันยื่นฎีกา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 391/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาผู้ขอประกัน: ผลของกฎหมายที่ใช้บังคับ ณ วันยื่นฎีกาและการสิ้นสุดสิทธิอุทธรณ์
สิทธิในการฎีกาของผู้ขอประกันต้องพิจารณาตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้ในขณะที่ยื่นฎีกา ผู้ขอประกันยื่นฎีกาเมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 ที่แก้ไขใหม่มีผลใช้บังคับแล้ว ซึ่งบัญญัติให้ผู้ขอประกันมีอำนาจอุทธรณ์คำสั่งศาลในกรณีผิดสัญญาประกันได้ และคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุดดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น กรณีจึงเป็นที่สุดผู้ขอประกันไม่มีสิทธิฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 391/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกา: พิจารณาจากบทกฎหมายและสิทธิ ณ วันยื่นฎีกา กรณีศาลชั้นต้น/อุทธรณ์สั่งปรับ
การพิจารณาว่าผู้ขอประกันมีสิทธิฎีกาได้หรือไม่เพียงไรต้องพิจารณาตามบทกฎหมายและสิทธิในวันยื่นฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ขอประกัน และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน สิทธิของผู้ขอประกันจึงเป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119ที่แก้ไขและมีผลใช้บังคับก่อนวันที่ที่ผู้ขอประกันยื่นฎีกา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 388/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสิ้นสุดสัญญาจ้างเนื่องจากเกษียณอายุ: การโต้เถียงวันสิ้นสุดสัญญาเป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม พ.ร.บ.แรงงาน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากสูงอายุ โจทก์อุทธรณ์ว่าคำสั่งที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างให้โจทก์ออกจากงานไว้ก่อนนั้น ยังไม่ถือว่าโจทก์พ้นจากการเป็นลูกจ้างวันที่โจทก์พ้นจากการเป็นลูกจ้างต้องถือเอาวันที่จำเลยออกคำสั่งให้โจทก์กลับเข้าปฏิบัติงานใหม่ ดังนี้ อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังยุติแล้วว่า โจทก์พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากสูงอายุ อันเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 54.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 388/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสิ้นสุดสัญญาจ้างเนื่องจากเกษียณอายุและการโต้แย้งวันสิ้นสุดสัญญา ศาลฎีกาไม่อุทธรณ์ข้อเท็จจริง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากสูงอายุเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2529 โจทก์อุทธรณ์ว่าคำสั่งที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างให้โจทก์ออกจากงานไว้ก่อนนั้นยังไม่ถือว่าโจทก์พ้นจากการเป็นลูกจ้าง วันที่โจทก์พ้นจากการเป็นลูกจ้างต้องถือเอาวันที่จำเลยออกคำสั่งให้โจทก์กลับเข้าปฏิบัติงานใหม่คือวันที่ 7 สิงหาคม 2532 ดังนี้ อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังยุติแล้วว่า โจทก์พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากสูงอายุเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม2529 อันเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และการป้องกันสิทธิในสถานการณ์วิวาท การพิจารณาเจตนาและเหตุผลในการกระทำ
จำเลยใช้มีดวิ่งเข้าไปจะแทงผู้ตายเพราะโกรธที่พี่ชายจำเลยถูกผู้ตายต่อย และจำเลยยังแทงทำร้ายผู้เสียหายซึ่งใช้เหล็กแป๊บน้ำตีขัดขวางถึงบาดเจ็บเป็นกรณีที่จำเลยสมัครใจเข้าร่วมวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ไม่เป็นการป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น ส่วนการที่จำเลยวิ่งหนีแล้วผู้ตายซึ่งไม่มีอาวุธวิ่งไล่ตาม และมีผู้เสียหายวิ่งตามหลังผู้ตายไป ก็เป็นพฤติการณ์ต่อสู้เกี่ยวเนื่องติดพันกัน จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุดังกล่าวว่าจำต้องกระทำเพื่อต่อสู้ป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นได้
จำเลยวิ่งหนีแล้วหันกลับมาแทงผู้ตายซึ่งวิ่งไล่ตามเพียงครั้งเดียวแล้ววิ่งหนีต่อไป แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตายเพียงแต่แทงผู้ตายเพื่อให้พ้นการติดตามของผู้ตายกับพวก โดยไม่มีโอกาสเลือกแทงอวัยวะส่วนใดของผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยเข้าร่วมวิวาท ทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ศาลลดโทษฐานรับสารภาพ
จำเลยใช้มีดวิ่งเข้าไปจะแทงผู้ตายเพราะโกรธที่พี่ชายจำเลยถูกผู้ตายต่อย และจำเลยยังแทงทำร้ายผู้เสียหายซึ่งใช้เหล็กแป๊บน้ำตีขัดขวางถึงบาดเจ็บเป็นกรณีที่จำเลยสมัครใจเข้าร่วมวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ไม่เป็นการป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น ส่วนการที่จำเลยวิ่งหนีแล้วผู้ตายซึ่งไม่มีอาวุธวิ่งไล่ตาม และมีผู้เสียหายวิ่งตามหลังผู้ตายไป ก็เป็นพฤติการณ์ต่อสู้เกี่ยวเนื่องติดพันกัน จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุดังกล่าวว่าจำต้องกระทำเพื่อต่อสู้ป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นได้ จำเลยวิ่งหนีแล้วหันกลับมาแทงผู้ตายซึ่งวิ่งไล่ตามเพียงครั้งเดียวแล้ววิ่งหนีต่อไป แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตายเพียงแต่แทงผู้ตายเพื่อให้พ้นการติดตามของผู้ตายกับพวก โดยไม่มีโอกาสเลือกแทงอวัยวะส่วนใดของผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192.
of 88