คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ก้าน อันนานนท์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,293 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6228/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกล้างสัญญาซื้อขายเนื่องจากจำเลยปกปิดข้อบกพร่องของทรัพย์ที่ขัดขวางการใช้ประโยชน์ได้
ศาลมีอำนาจที่วินิจฉัยว่าลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของโจทก์หรือไม่โดยไม่จำต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์และไม่จำเป็นที่ผู้มอบอำนาจต้องลงลายมือชื่อในวันที่ลงในหนังสือมอบอำนาจอาจมีการลงลายมือชื่อไว้ก่อนได้และแม้ขณะลงลายมือชื่อดังกล่าวจะมิได้กรอกข้อความให้ครบถ้วนแต่เมื่อได้กรอกข้อความให้ครบถ้วนก่อนฟ้องคดีตรงตามความประสงค์ของผู้มอบอำนาจแล้วย่อมเป็นหนังสือมอบอำนาจที่ใช้ได้ โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินและอาคารจากจำเลยเพื่อดำเนินกิจการโรงแรมแต่จำเลยไม่ได้บอกให้โจทก์ทราบถึงคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้จำเลยระงับการก่อสร้างและรื้อถอนส่วนที่ผิดแบบออกไปทำให้โจทก์สำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์อันเป็นสาระสำคัญเป็นเหตุให้สัญญาจะซื้อขายเป็นโมฆียะโจทก์ขึงมีสิทธิบอกล้างได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6136/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกที่ดินให้เทศบาลเพื่อจัดตั้งสถานีขนส่ง แม้มีการยกเลิกสถานีขนส่งแล้ว กรรมสิทธิ์ในที่ดินยังคงเป็นของเทศบาล
โจทก์มีหนังสือถึงเทศบาลเมืองอุบลราชธานีจำเลยแจ้งว่าโจทก์ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยเพื่อให้จำเลยใช้เป็นสถานีขนส่ง โดยมีข้อความระบุว่า"...ที่ดินดังกล่าวนี้ข้าพเจ้ายินดีและตกลงยกให้เทศบาลเมืองอุบลฯ จำนวนเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ เพื่อให้จัดทำเป็นสถานีขนส่งทางบก...ผู้ยกให้และผู้รับจะได้ทำการโอนทางทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายโดยเร็วหลังจากกรมขนส่งอนุญาตแล้ว..."ซึ่งต่อมาจำเลยได้ว่าจ้างให้โจทก์ก่อสร้างอาคารสถานีขนส่งลงในที่พิพาทและโจทก์ได้ดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ ในที่สุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีประกาศกำหนดให้สถานที่ที่โจทก์ก่อสร้างดังกล่าวเป็นสถานีขนส่งจังหวัดอุบลราชธานี หลังจากนั้นโจทก์ก็ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่จำเลย ดังนี้ถือว่าจำเลยได้ดำเนินการตามขั้นตอนเรื่องการจัดตั้งสถานีขนส่งเรียบร้อยทุกขั้นตอนแล้ว ส่วนการที่ภายหลังต่อมากระทรวงคมนาคมประกาศยกเลิกสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุบลราชธานีนั้น เป็นเรื่องที่ทางราชการเห็นว่าสภาพและสภาวะปัจจุบันไม่เหมาะสมที่จะใช้ที่พิพาทเป็นสถานีขนส่งอีกต่อไป ซึ่งไม่มีผลย้อนหลังให้ที่พิพาทซึ่งโจทก์ได้จดทะเบียนโอนเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยไปแล้วกลับคืนไปยังโจทก์อีก คำพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6136/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อจัดตั้งสถานีขนส่ง และผลของการยกเลิกสถานีขนส่งต่อกรรมสิทธิ์
โจทก์มีหนังสือถึงเทศบาลเมืองอุบลราชธานีจำเลยแจ้งว่าโจทก์ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยเพื่อให้จำเลยใช้เป็นสถานีขนส่งโดยมีข้อความระบุว่า"ที่ดินดังกล่าวนี้ข้าพเจ้ายินดีและตกลงยกให้เทศบาลเมืองอุบลฯจำนวนเนื้อที่ประมาณ5ไร่เพื่อให้จัดทำเป็นสถานีขนส่งทางบกผู้ยกให้และผู้รับจะได้ทำการโอนทางทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายโดยเร็วหลังจากกรมขนส่งอนุญาตแล้ว"ซึ่งต่อมาจำเลยได้ว่าจ้างให้โจทก์ก่อสร้างอาคารสถานีขนส่งลงในที่พิพาทและโจทก์ได้ดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จในที่สุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีประกาศกำหนดให้สถานที่ที่โจทก์ก่อสร้างดังกล่าวเป็นสถานีขนส่งจังหวัดอุบลราชธานีหลังจากนั้นโจทก์ก็ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่จำเลยดังนี้ถือว่าจำเลยได้ดำเนินการตามขั้นตอนเรื่องการจัดตั้งสถานีขนส่งเรียบร้อยทุกขั้นตอนแล้วส่วนการที่ภายหลังต่อมากระทรวงคมนาคมประกาศยกเลิกสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุบลราชธานีนั้นเป็นเรื่องที่ทางราชการเห็นว่าสภาพและสภาวะปัจจุบันไม่เหมาะสมที่จะใช้ที่พิพาทเป็นสถานีขนส่งอีกต่อไปซึ่งไม่มีผลย้อนหลังให้ที่พิพาทซึ่งโจทก์ได้จดทะเบียนโอนเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยไปแล้วกลับคืนไปยังโจทก์อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6136/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกที่ดินให้จัดตั้งสถานีขนส่งและผลของการยกเลิกสถานีขนส่งต่อสิทธิในที่ดิน
โจทก์มีหนังสือถึงเทศบาลเมืองอุบลราชธานีจำเลยแจ้งว่าโจทก์ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยเพื่อให้จำเลยใช้เป็นสถานีขนส่งโดยมีข้อความระบุว่า"ที่ดินดังกล่าวนี้ข้าพเจ้ายินดีและตกลงยกให้เทศบาลเมืองอุบลฯจำนวนเนื้อที่ประมาณ5ไร่เพื่อให้จัดทำเป็นสถานีขนส่งทางบกผู้ยกให้และผู้รับจะได้ทำการโอนทางทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายโดยเร็วหลังจากกรมขนส่งอนุญาตแล้ว"ซึ่งต่อมาจำเลยได้ว่าจ้างให้โจทก์ก่อสร้างอาคารสถานีขนส่งลงในที่พิพาทและโจทก์ได้ดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จในที่สุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีประกาศกำหนดให้สถานที่ที่โจทก์ก่อสร้างดังกล่าวเป็นสถานีขนส่งจังหวัดอุบลราชธานีหลังจากนั้นโจทก์ก็ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่จำเลยดังนี้ถือว่าจำเลยได้ดำเนินการตามขั้นตอนเรื่องการจัดตั้งสถานีขนส่งเรียบร้อยทุกขั้นตอนแล้วส่วนการที่ภายหลังต่อมากระทรวงคมนาคมประกาศยกเลิกสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุบลราชธานีนั้นเป็นเรื่องที่ทางราชการเห็นว่าสภาพและสภาวะปัจจุบันไม่เหมาะสมที่จะใช้ที่พิพาทเป็นสถานีขนส่งอีกต่อไปซึ่งไม่มีผลย้อนหลังให้ที่พิพาทซึ่งโจทก์ได้จดทะเบียนโอนเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยไปแล้วกลับคืนไปยังโจทก์อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6056/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิคนต่างด้าวทำสัญญาซื้อขายที่ดิน: สัญญาไม่เป็นโมฆะหากมีสิทธิขออนุญาตถือกรรมสิทธิ์ได้
โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นคนต่างด้าวมีสิทธิทำสัญญาจะซื้อขาย ที่ดินจากจำเลยได้เพราะกฎหมายมิได้ห้ามขาดมิให้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยคนต่างด้าวอาจขออนุญาตต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ สัญญาจะซื้อที่ดินจึงไม่เป็นโมฆะหรือโมฆียะ เมื่อสัญญามีผลบังคับและยังไม่ระงับ โจทก์ที่ 2ย่อมฟ้องขอบังคับให้จำเลยปฎิบัติตามสัญญาได้ แต่ศาลจะบังคับให้เมื่อโจทก์ที่ 2 ได้ปฎิบัติตามหลักเกณฑ์ในการถือกรรมสิทธิ์ก่อน เมื่อโจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีโดยยังมิได้ปฎิบัติให้ครบหลักเกณฑ์ดังกล่าวก็ต้องยกฟ้องโจทก์ และวางเงื่อนไขให้โจทก์ที่ 2 ฟ้องใหม่ได้ภายในอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6048/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเช่าพื้นที่ค้าเป็นสิทธิเฉพาะตัว ไม่เป็นมรดก ผู้จัดการมรดกไม่มีอำนาจจัดการ
ป. ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ยินยอมให้ป. เข้าทำการค้าในสถานที่หรือแผงขายสินค้าด้วยตนเองจะนำไปให้บุคคลอื่นทำการค้าหรือโอนสิทธิให้บุคคลอื่นไม่ได้เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากจำเลยที่ 1ก่อน สิทธิอันเกิดจากสัญญาดังกล่าวจึงเป็นสิทธิเฉพาะตัวของป. ไม่เป็นทรัพย์ในกองมรดกของ ป. ที่ผู้จัดการมรดกจะจัดการได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5974/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินต้องมีเหตุเชื่อมโยงกับฟ้องเดิม หากไม่มี ศาลไม่รับพิจารณา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ด้านที่ติดกับที่ดินของจำเลย ขอให้ขับไล่ จำเลยให้การปฏิเสธว่า มิได้บุกรุก คดีจึงมีประเด็นว่าจำเลยบุกรุกหรือไม่การที่จำเลยฟ้องแย้งว่า หากจำเลยได้ครอบครองที่ดินของจำเลยต่อเนื่องเข้าไปในที่ดินของโจทก์ตามฟ้องก็เป็นการครอบครองโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์นั้น เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5974/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรวมพิจารณาฟ้องแย้งเกี่ยวกับการครอบครองปรปักษ์ในคดีบุกรุกที่ดิน
โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปทำรั้วปูนด้านหน้าและรั้วสังกะสีด้านข้างในที่ดินมีโฉนดของโจทก์ ด้านที่ติดกับจำเลยเป็นเนื้อที่รวม7 ตารางวา ขอให้ขับไล่ จำเลยให้การปฏิเสธว่า มิได้บุกรุกหรือรุกล้ำ ขอให้ยกฟ้อง คดีจึงมีประเด็นว่า จำเลยบุกรุกดังฟ้องโจทก์หรือไม่ หากฟังไม่ได้ว่าจำเลยบุกรุก ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์ไปโดยไม่ต้องพิจารณาตามฟ้องแย้งของจำเลย การที่จำเลยฟ้องแย้งว่า เมื่อที่ดินของจำเลยอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์หากจำเลยได้ครอบครองที่ดินของจำเลยต่อเนื่องเข้าไปในที่ดินของโจทก์ตามฟ้องจำเลยก็ได้ครอบครองที่ดินของโจทก์ติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปี แล้วเป็นการครอบครองโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์นั้น เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคสุดท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5836/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งนัดพิจารณาคดีและการพิจารณาคดีโดยมิชอบ ศาลต้องแจ้งนัดพิจารณาให้จำเลยทราบ การพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์โดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่6ทราบวันนัดด้วยการที่ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์ไปและมีคำสั่งว่าจำเลยที่6ขาดนัดพิจารณาให้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินค้าคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่6ไปฝ่ายเดียวจึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่มิชอบด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(2)ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยที่6ทราบแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปและพิพากษาใหม่เฉพาะจำเลยที่6ตามรูปคดีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งมีความหมายว่าให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งว่าจำเลยที่6ขาดนัดพิจารณาและยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่6ให้ศาลชั้นต้นแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยที่6ทราบแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปและพิพากษาใหม่เฉพาะจำเลยที่6ตามรูปคดีโดยพิพากษายืนในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่1ที่2ที่3ที่5และที่7แต่ปรากฏว่าหลังจากโจทก์ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่6ซึ่งศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่6ได้ตามคำร้องและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่6เสียจากสารบบความของศาลฎีกาจึงไม่มีกรณีที่ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่6ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ต่อไปอีก ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยที่6ทราบแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปและพิพากษาใหม่เฉพาะจำเลยที่6ตามรูปคดีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยที่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่1ที่2ที่3ที่5และที่7ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่านอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งมีความหมายว่าพิพากษายืนในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่1ที่2ที่3ที่5และที่7นั้นจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามมาตรา141(4)และมาตรา142ประกอบด้วยมาตรา246อันเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวของโจทก์ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5836/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งวันนัดพิจารณาคดีและการพิจารณาอุทธรณ์ที่สมบูรณ์ ศาลต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้อง
ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์โดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่ 6 ทราบวันนัดด้วย การที่ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์ไป และมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 6 ขาดนัดพิจารณาให้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 6 ไปฝ่ายเดียว จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่มิชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (2) ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยที่ 6 ทราบแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป และพิพากษาใหม่เฉพาะจำเลยที่ 6 ตามรูปคดีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งมีความหมายว่าให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งว่าจำเลยที่ 6 ขาดนัดพิจารณา และยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 6 ให้ศาลชั้นต้นแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยที่ 6 ทราบ แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปและพิพากษาใหม่เฉพาะจำเลยที่ 6 ตามรูปคดี โดยพิพากษายืนในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5และที่ 7 แต่ปรากฏว่าหลังจากโจทก์ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 6 ซึ่งศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 6ได้ตามคำร้อง และให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 6 เสียจากสารบบความของศาลฎีกา จึงไม่มีกรณีที่ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 6 ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ต่อไปอีก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยที่ 6 ทราบแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป และพิพากษาใหม่เฉพาะจำเลยที่ 6 ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำาสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยที่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 7ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่านอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งมีความหมายว่าพิพากษายืนในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ที่ 5 และที่ 7 นั้น จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามมาตรา 141 (4) และมาตรา 142 ประกอบด้วยมาตรา 246 อันเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวของโจทก์ก่อน
of 130