คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 218 วรรคหนึ่ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 264 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8070/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องเช็ค – ผู้ทรงเช็ค vs. ผู้รับเช็ค - การโอนเช็คมีผลต่ออำนาจฟ้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 8 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 3 เดือน เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้ฝากเช็คพิพาทให้ ก.ไปเบิกเงินแทน แต่เป็นการโอนเช็คพิพาทให้แก่ ก.เพราะ ก.ได้ครอบครองเช็คพิพาท และได้ใช้สิทธิทวงถามให้จำเลยชำระหนี้เรื่อยมาเป็นเวลานาน ก.จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาท โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7434/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่อุทธรณ์ข้อเท็จจริงเดิม และเช็คยังผูกพันตามกฎหมาย แม้มีการฟ้องร้องคดีแพ่งควบคู่
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เช็คพิพาทออกให้โจทก์ร่วมในมูลหนี้ซื้อขายรถยนต์ มิใช่มูลหนี้กู้ยืม การที่จำเลยฎีกาว่าคดีนี้มีมูลหนี้กู้ยืมโดยแปลงหนี้มาจากสัญญาซื้อขายจึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมายุติดังกล่าวแล้ว ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง โจทก์ร่วมได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรีขอให้จำเลยคืนรถยนต์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 605,000 บาทและต่อมาขณะคดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการที่โจทก์ร่วมฟ้องคดีแพ่งดังกล่าว ถือได้ว่าโจทก์ร่วมได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายสัญญาซื้อขายจึงเลิกกัน โจทก์ร่วมไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระราคารถยนต์มูลหนี้ตามเช็คพิพาทระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยจึงสิ้นผลผูกพันนั้นเมื่อข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและมีคำสั่งแล้วว่า ตามคำร้องของ จำเลยไม่ปรากฏว่าศาลแพ่งธนบุรีมีคำพิพากษาให้จำเลยคืนรถยนต์อันเป็นมูลหนี้ที่จำเลยออกเช็คพิพาทหรือให้ใช้ราคารถยนต์ดังกล่าวคืน เช่นนี้ มูลหนี้ที่จำเลยออกเช็คพิพาทจึงยังไม่สิ้นผลผูกพันระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลยคดีนี้จึงถือไม่ได้ว่าได้เลิกกันตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7434/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเช็ค: มูลหนี้ซื้อขายยังไม่สิ้นสุด แม้มีการฟ้องเรียกคืนรถยนต์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เช็คพิพาทออกให้โจทก์ร่วมในมูลหนี้ซื้อขายรถยนต์ มิใช่มูลหนี้กู้ยืม การที่จำเลยฎีกาว่าคดีนี้มีมูลหนี้กู้ยืมโดยแปลงหนี้มาจากสัญญาซื้อขาย จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมายุติดังกล่าวแล้ว ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
โจทก์ร่วมได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรี ขอให้จำเลยคืนรถยนต์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 605,000 บาท และต่อมาขณะคดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการที่โจทก์ร่วมฟ้องคดีแพ่งดังกล่าว ถือได้ว่าโจทก์ร่วมได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขาย สัญญาซื้อขายจึงเลิกกัน โจทก์ร่วมไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระราคารถยนต์ มูลหนี้ตามเช็คพิพาทระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยจึงสิ้นผลผูกพันนั้น เมื่อข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและมีคำสั่งแล้วว่า ตามคำร้องของจำเลยไม่ปรากฏว่า ศาลแพ่งธนบุรีมีคำพิพากษาให้จำเลยคืนรถยนต์อันเป็นมูลหนี้ที่จำเลยออกเช็คพิพาทหรือให้ใช้ราคารถยนต์ดังกล่าวคืน เช่นนี้ มูลหนี้ที่จำเลยออกเช็คพิพาทจึงยังไม่สิ้นผลผูกพันระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลย คดีนี้จึงถือไม่ได้ว่าได้เลิกกันตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 7

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6476/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อัตราโทษมาตรา 336 ทวิ เป็นการเพิ่มโทษ ไม่ใช่ความผิดใหม่ ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษแต่ไม่ใช้ตามมาตรานี้
ป.อ. มาตรา 336 ทวิ เป็นบทบัญญัติถึงเหตุที่จะทำให้ผู้กระทำความผิดตามมาตรา 335 ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆกึ่งหนึ่ง หาใช่เป็นความผิดอีกบทหนึ่งต่างหากไม่ ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยมิได้ใช้อัตราโทษตามที่มาตรา 336 ทวิ กำหนดไว้ แต่คงพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามมาตรา 335 (1) (3) (8) ตามที่ศาลชั้นต้นยกขึ้นปรับและใช้อัตราโทษตามมาตรา 335 วรรคสาม ลงโทษจำเลย เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยที่ 3 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6476/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ไม่เพิ่มโทษตามมาตรา 336 ทวิ และข้อจำกัดในการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา336ทวิเป็นบทบัญญัติถึงเหตุที่จะทำให้ผู้กระทำความผิดตามมาตรา335ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆกึ่งหนึ่งหาใช่เป็นความผิดอีกบทหนึ่งต่างหากไม่ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้ใช้อัตราโทษตามที่มาตรา336ทวิกำหนดไว้แต่คงพิพากษาว่าจำเลยที่3มีความผิดตามมาตรา335(1)(3)(8)ตามที่ศาลชั้นต้นยกขึ้นปรับและใช้อัตราโทษตามมาตรา335วรรคสามลงโทษจำเลยเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน5ปีจำเลยที่3จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5629/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาแก้บทมาตราแต่ไม่แก้โทษและข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง รวมถึงการไม่มีเจตนาจัดหางาน
ความผิดฐานฉ้อโกง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะบทมาตราโดยศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรกแต่ยังคงลงโทษจำเลยเท่ากับศาลชั้นต้น ดังนี้ เป็นการแก้บทโดยไม่ได้แก้โทษ ถือได้ว่าเป็นการแก้ไขเพียงเล็กน้อย และศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานฉ้อโกง เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลที่รับฟังว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงถือได้ว่าเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีความสามารถที่จะจัดส่งคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ สำนักงานของจำเลยเป็นบ้านสองชั้น จำเลยอยู่ชั้นล่างเป็นห้องเล็ก ๆมีประตูเลื่อน ที่หน้าสำนักงานไม่ได้เขียนหนังสือไว้ว่ารับจัดหางาน ซึ่งจำเลยเพียงแต่อาศัยห้องเล็ก ๆ ดังกล่าวเป็นสำนักงานที่หลอกลวงคนหางานเพื่อให้ได้เงินโดยจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานอย่างจริงจัง พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 4 ซึ่งใช้บังคับในขณะนั้นบัญญัติคำว่า "จัดหางาน" หมายความว่า ประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานหรือหาลูกจ้างให้แก่นายจ้าง โดยจะเรียกหรือรับค่าบริการตอบแทนหรือไม่ก็ตาม ดังนี้ จำเลยจะต้องมีเจตนาจัดหางาน มิใช่เพียงแต่อ้างการจัดหางานเพื่อเป็นเหตุหลอกลวงเอาเงินจากคนหางาน เมื่อจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานแล้ว จำเลยก็ย่อมไม่มีความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5629/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฉ้อโกงและการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต: เจตนาเป็นสำคัญ
ความผิดฐานฉ้อโกง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะบทมาตราโดยศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 341 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 343 วรรคแรก แต่ยังคงลงโทษจำเลยเท่ากับศาลชั้นต้น ดังนี้ เป็นการแก้บทโดยไม่ได้แก้โทษ ถือได้ว่าเป็นการแก้ไขเพียงเล็กน้อย และศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคแรกจำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานฉ้อโกง เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลที่รับฟังว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงถือได้ว่าเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีความสามารถที่จะจัดส่งคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ สำนักงานของจำเลยเป็นบ้านสองชั้น จำเลยอยู่ชั้นล่างเป็นห้องเล็ก ๆ มีประตูเลื่อน ที่หน้าสำนักงานไม่ได้เขียนหนังสือไว้ว่ารับจัดหางาน ซึ่งจำเลยเพียงแต่อาศัยห้องเล็ก ๆ ดังกล่าวเป็นสำนักงานที่หลอกลวงคนหางานเพื่อให้ได้เงินโดยจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานอย่างจริงจัง พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 4ซึ่งใช้บังคับในขณะนั้น บัญญัติคำว่า "จัดหางาน" หมายความว่า ประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานหรือหาลูกจ้างให้แก่นายจ้าง โดยจะเรียกหรือรับค่าบริการตอบแทนหรือไม่ก็ตาม ดังนี้ จำเลยจะต้องมีเจตนาจัดหางาน มิใช่เพียงแต่อ้างการจัดหางานเพื่อเป็นเหตุหลอกลวงเอาเงินจากคนหางาน เมื่อจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานแล้ว จำเลยก็ย่อมไม่มีความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3040/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากโต้เถียงดุลพินิจศาลชั้นต้นและอุทธรณ์เกี่ยวกับข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 เดือนปรับ 4,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี และไม่ริบของกลางศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะของกลางเป็นให้ริบ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกาขอไม่ให้ไม่ริบของกลาง เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2944/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับใช้ พ.ร.บ.การประมง หลัง คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ เข้าควบคุมอำนาจ และความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งคณะกรรมการกำหนดค่าเสียหาย
แม้คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ซึ่งได้เข้าควบคุมอำนาจในการปกครองของประเทศและได้ออกประกาศ ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2534 มีผลทำให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521สิ้นผลลงก็ตาม แต่ก็มิได้มีประกาศของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับใดยกเลิก พ.ร.บ. การประมง พ.ศ.2490 มาตรา 28 ทวิ, 64 ทวิ บทกฎหมายดังกล่าวจึงยังมีผลบังคับอยู่
คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ฯเพียงแต่ได้ทำการรวบรวมและคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งทางรัฐบาลได้เสียไปอันเกิดจากการละเมิดน่านน้ำของต่างประเทศของจำเลยผู้เป็นเจ้าของเรือ ซึ่งใช้หรือยอมให้ใช้เรือของตนกระทำการละเมิด และแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามคำวินิจฉัยภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายตาม พ.ร.บ. การประมง พ.ศ.2490 มาตรา28 ทวิ เท่านั้น มิได้กระทำการพิจารณาวินิจฉัยอรรถคดีเช่นเดียวกับศาลยุติธรรมแต่อย่างใด ซึ่งเมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็จะมีโทษตามมาตรา 64 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว การกระทำของคณะกรรมการกำหนดค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ฯจึงชอบด้วยกฎหมาย หาขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี และปรับ100,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกาว่า คำสั่งของคณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ฯขัดต่อหลักกฎหมายและขาดข้อเท็จจริงสนับสนุนเพียงพอนั้น เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมาย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2944/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บทบัญญัติ พ.ร.บ.การประมงยังใช้ได้แม้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการพิจารณาค่าเสียหายชอบด้วยกฎหมาย
แม้คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติซึ่งได้เข้าควบคุมอำนาจในการปกครองของประเทศและได้ออกประกาศฉบับที่1ลงวันที่23กุมภาพันธ์2534มีผลทำให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช2521สิ้นผลลงก็ตามแต่ก็มิได้มีประกาศของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับใดยกเลิกพระราชบัญญัติ การประมงพ.ศ.2490มาตรา28ทวิ,64ทวิบทกฎหมายดังกล่าวจึงยังมีผลบังคับอยู่ คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายอื่นๆเพียงแต่ได้ทำการรวบรวมและคำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆซึ่งทางรัฐบาลได้เสียไปอันเกิดจากการละเมิดน่านน้ำของต่างประเทศของจำเลยผู้เป็นเจ้าของเรือซึ่งใช้หรือยอมให้ใช้เรือของตนกระทำการละเมิดและแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามคำวินิจฉัยภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายพระราชบัญญัติการประมงพ.ศ.2490มาตรา28ทวิเท่านั้นมิได้กระทำการพิจารณาวินิจฉัยอรรถคดีเช่นเดียวกับศาลยุติธรรมแต่อย่างใดซึ่งเมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็จะมีโทษตามมาตรา64ทวิแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวการกระทำของคณะกรรมการกำหนดค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายอื่นๆฯจึงชอบด้วยกฎหมายหาขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย1ปีและปรับ100,000บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้1ปีศาลอุทธรณ์พิพากษายืนห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคหนึ่งจำเลยฎีกาว่าคำสั่งของคณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายอื่นๆฯขัดต่อหลักกฎหมายและขาดข้อเท็จจริงสนับสนุนเพียงพอนั้นเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว
of 27