พบผลลัพธ์ทั้งหมด 264 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2704/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการวินิจฉัยพยานหลักฐานและการห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลเป็นผู้มีอำนาจใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงของโจทก์และจำเลยจนแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้นจึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้ ดังนั้น การที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังพยานโจทก์บางปาก และไม่วินิจฉัยพยานโจทก์และพยานจำเลยบางปากนั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2498/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานเข้าเมืองผิดกฎหมายและการอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ในข้อหาความผิดฐานเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้จำคุกจำเลยที่ 2 แต่ละกระทงไม่เกินห้าปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่ามิได้กระทำความผิดดังกล่าว เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2498/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยที่ 1 พ้นผิดจากคดียาเสพติด ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย
คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่2ในข้อหาความผิดฐานเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้จำคุกจำเลยที่2แต่ละกระทงไม่เกินห้าปีห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคหนึ่งที่จำเลยที่2ฎีกาว่ามิได้กระทำความผิดดังกล่าวเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2145/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีอาวุธปืน และอำนาจศาลฎีกาในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเพื่อความสงบเรียบร้อย
ความผิดฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 6 เดือน และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้พาอาวุธปืนเข้าไปในห้องอาหารที่เกิดเหตุ เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามกฎหมายข้างต้น
ความผิดฐานพาอาวุธปืนนั้นแม้จะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้
เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าและทำให้เสียทรัพย์ อาวุธปืนของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด และแม้ว่าจำเลยจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371ซึ่งศาลอาจสั่งริบอาวุธปืนของกลางได้ก็ตาม แต่ข้อหาความผิดตามมาตรา 371 นี้เป็นกรรมเดียวกับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคสอง,72 ทวิ วรรคสอง เมื่อศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดแล้ว ย่อมจะอาศัยบทที่มีโทษเบา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 มาสั่งริบอาวุธปืนของกลางไม่ได้ และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ความผิดฐานพาอาวุธปืนนั้นแม้จะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้
เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าและทำให้เสียทรัพย์ อาวุธปืนของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด และแม้ว่าจำเลยจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371ซึ่งศาลอาจสั่งริบอาวุธปืนของกลางได้ก็ตาม แต่ข้อหาความผิดตามมาตรา 371 นี้เป็นกรรมเดียวกับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคสอง,72 ทวิ วรรคสอง เมื่อศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดแล้ว ย่อมจะอาศัยบทที่มีโทษเบา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 มาสั่งริบอาวุธปืนของกลางไม่ได้ และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 562/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การโต้แย้งดุลพินิจศาลในประเด็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน ปรับ 5,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี และไม่ริบรถยนต์ของกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เฉพาะของกลางเป็นให้ริบ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งฉะนั้น ที่จำเลยฎีกาขอให้ไม่ริบรถยนต์ขอวงกลางเนื่องจากไม้ที่จำเลยรับไว้มีปริมาตรน้อย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้าม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7074/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากเป็นการโต้เถียงดุลพินิจศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับโทษ จำเลยอุทธรณ์ขอรอการลงโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 วรรคหนึ่ง,83 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 15 ปีลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75แล้ว จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียงว่าให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ประกอบด้วยมาตรา 74(5) โดยส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนมีกำหนด 1 ปี จึงเป็นการแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงเล็กน้อย จำเลยฎีกาขอให้ศาลรอลงอาญาให้จำเลยหรือให้ศาลมอบตัวจำเลยให้แก่มารดาเพื่อควบคุมความประพฤติของจำเลยเป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งถึงแม้ว่าจำเลยจะได้ยื่นคำร้องขอให้รับรองให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาในศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6539/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในคดีเยาวชนที่ศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ย่อมเป็นเหตุให้ฎีกาต้องห้ามตามกฎหมาย
การเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลาง มิได้เป็นการลงโทษจำเลยที่ 1 โดยจำคุกเกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 124ที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายจำหน้าจำเลยไม่ได้ คำเบิกความของผู้เสียหายและเอกสารพยานโจทก์มีพิรุธ คำเบิกความของผู้เสียหายคดีนี้แตกต่างกับคำเบิกความอีกคดีหนึ่งในข้อสำคัญ และจำเลยให้การชั้นสอบสวนเพราะถูกบังคับ เป็นการฎีกาเกี่ยวกับดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้าม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6239/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่อาจรับฟังได้เนื่องจากเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเกินขอบเขตที่กฎหมายอนุญาต และเป็นการฎีกาในประเด็นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้ว
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า แม้จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์ก็ต้องนำพยานซึ่งเป็นผู้นำเงินไปชำระค่าธรรมเนียมและเป็นประจักษ์พยานเข้าสืบทั้งหมด เมื่อโจทก์นำพยานเข้าสืบตามฟ้องเพียง 6 ข้อ จึงฟังลงโทษจำเลยได้เพียง 6 ข้อนั้น เมื่อโจทก์ได้นำพยานบุคคลและพยานเอกสารเข้าสืบ ประกอบคำรับสารภาพของจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่งจนเป็นที่พอใจแก่ศาลชั้นต้นแล้วว่าจำเลยได้กระทำผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ฐานเจ้าพนักงานเบียดบัง ยักยอก ซึ่งเป็นบทเฉพาะ ให้ลงโทษจำเลยเป็นความผิดต่างกระทง ในรายที่ได้กระทำ อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันรวม 15 กระทง ฎีกาจำเลยในข้อนี้จึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟัง พยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และที่จำเลย ฎีกาขอให้ลงโทษในสถานเบาก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เช่นกัน ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่มีหน้าที่ในการซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาตัวทรัพย์ก็ดี เงินค่าธรรมเนียมที่จำเลย ยักยอกไม่ใช่ทรัพย์วัตถุมีรูปร่างที่จำเลยมีหน้าที่ซื้อทำ จัดการรักษาก็ดี เจ้าพนักงานจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ต้องเบียดบังทรัพย์ ซึ่งเป็นวัตถุมีรูปร่างก็ดี จำเลยกรอกข้อความกำลังแรงม้าและจำนวนเงินเปลี่ยนแปลงในต้นฉบับใบเสร็จรับเงิน และในสมุดเงินสด โดยจำเลยแก้ไขเพียงครั้งเดียวในวันเวลา เดียวกัน ในตอนเย็นก่อนเลิกงานราชการ และก่อนที่จะส่งเงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้แก่เจ้าหน้าที่เก็บรักษาเงินเข้าเป็นประโยชน์ส่วนตัว จึงเป็นการเบียดบังยักยอกเงินค่าธรรมเนียมอันเป็นความผิดกรรมเดียวต่อเนื่องกันในแต่ละวันที่จำเลยยักยอกเงินค่าธรรมเนียมไปเป็นความผิดเพียง 8 กรรมตามวันที่ที่จำเลยยักยอกนั้นก็ดี เป็นฎีกาที่โต้เถียงข้อเท็จจริงว่า จำเลยมิได้มีเจตนากระทำความผิดฐานเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกและมิได้มีเจตนากระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน และเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำ ของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกต่างกรรม ต่างวาระกันดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามา แต่การกระทำ ของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เพียงบทเดียว และเพียง 3 กรรม นั้น ล้วนเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5210/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาโทษอาญาซ้ำซ้อนและหลักการใช้กฎหมายบทหนัก กรณีจำเลยกระทำผิดหลายกระทง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147,157,265 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดจำเลยกระทำความผิด 23 กระทง เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปีรวมจำคุก 115 ปี และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265,268 แต่ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคสอง ประกอบมาตรา 265จำเลยกระทำความผิด 23 กระทง เรียงกระทงลงโทษ จำคุกกระทงละ 1 ปีรวมจำคุก 23 ปี รวมโทษจำคุก จำเลยทั้งหมด 138 ปี แต่ให้จำคุกจำเลยเพียง 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3)ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,265,268 กระทงเดียวเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 147ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดจำคุก 5 ปี และไม่ปรับบทกระทำผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีกเท่านั้น จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงทำนองว่า ไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง แต่ถ้าศาลฎีกาฟังว่าจำเลยกระทำความผิด ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษแก่จำเลยจึงต้องห้ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3342/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยให้การรับสารภาพ แต่พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษ ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 8 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้จำคุกคนละ 4 เดือน ส่วนความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ศาลชั้นต้นมิได้ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลดมาตราส่วนโทษแก่จำเลยที่ 2 และปรับบทความผิดในความผิดที่ศาลชั้นต้นมิได้ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามดังกล่าวให้ถูกต้องเท่านั้นจึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยความผิดทั้งสามกระทงดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนโดยสมัครใจจึงเป็นคำรับโดยชอบ ศาลรับฟังได้ แต่ลำพังเพียงคำรับสารภาพชั้นสอบสวนยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสามได้ต้องฟังพยานโจทก์อื่นประกอบต่อไปอีก จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงไปยังรถยนต์ของผู้เสียหายโดยมีเจตนาจะปล้นทรัพย์ และในขณะเดียวกันย่อมเล็งได้ว่าว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้แต่ผู้เสียหายได้ขับรถแล่นหนีไปเสียก่อนจึงไม่ได้รับอันตรายจากการปล้นทรัพย์ของจำเลยทั้งสาม และจำเลยทั้งสามไม่สามารถเอาทรัพย์ใด ๆ ไปได้ จำเลยทั้งสามจึงมีความผิดฐานใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการพยายามฆ่าและพยายามปล้นทรัพย์และความผิดฐานพยายามฆ่าและพยายามปล้นทรัพย์ด้วย ศาลอุทธรณ์รวมโทษจำคุกจำเลยน้อยกว่าที่ถูกต้องแต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225