พบผลลัพธ์ทั้งหมด 487 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1051-1055/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมโดยปริยายของบริษัทต่อการกระทำของตัวแทน แม้ขัดต่อข้อบังคับบริษัท และการแก้ไขฟ้อง
แม้จำเลยจะได้รับสำเนาคำร้องของโจทก์ที่ขอแก้ไขและเพิ่มเติมฟ้องยังไม่ถึง 3 วันก่อนศาลชั้นต้นทำคำสั่งอนุญาตก็ดีแต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยแถลงไม่คัดค้านที่โจทก์ขอแก้ทั้งได้ทำคำให้การแก้ฟ้องเพิ่มเติมแล้วจำเลยจะมาคัดค้านในชั้นฎีกาไม่ได้
พฤติการณ์ที่บริษัทจำกัดจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2ปฏิบัติมา เห็นได้ว่าบริษัทจำเลยที่ 1 รู้แล้วยอมให้จำเลยที่ 2 เชิดตัวเองแสดงกับบุคคลภายนอกว่าเป็นตัวแทนของตนแม้ข้อบังคับของบริษัทมีว่าต้องมีกรรมการ 2 นายลงชื่อในนิติกรรม จึงจะผูกพันจำเลยที่ 1 ได้บริษัทจำเลยที่ 1 ก็ไม่พ้นความรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต
พฤติการณ์ที่บริษัทจำกัดจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2ปฏิบัติมา เห็นได้ว่าบริษัทจำเลยที่ 1 รู้แล้วยอมให้จำเลยที่ 2 เชิดตัวเองแสดงกับบุคคลภายนอกว่าเป็นตัวแทนของตนแม้ข้อบังคับของบริษัทมีว่าต้องมีกรรมการ 2 นายลงชื่อในนิติกรรม จึงจะผูกพันจำเลยที่ 1 ได้บริษัทจำเลยที่ 1 ก็ไม่พ้นความรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 788/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของตัวการและตัวแทน, การจำกัดอำนาจตัวแทน, และการฟ้องเรียกหนี้ตามเช็ค
ข้อจำกัดอำนาจของตัวแทนไม่ให้ตัวแทนกู้ยืมเงินได้นั้นเป็นการภายในระหว่างตัวการกับตัวแทนถ้าบุคคลภายนอกไม่รู้ถึงข้อจำกัดดังกล่าวตัวการย่อมไม่พ้นความรับผิด
ที่ตัวแทนต้องรับผิดในเมื่อตัวการอยู่ต่างประเทศนั้นเป็นการเพิ่มความรับผิดให้แก่ตัวแทน หาได้หมายความว่าตัวการหมดความรับผิดไม่
การฟ้องเรียกหนี้ตามเช็คที่ออกให้โดยตัวแทน เพื่อชำระหนี้เงินที่ตัวแทนได้รับจากโจทก์ไปใช้ในกิจการของตัวการนั้น ไม่ใช่การฟ้องเรียกเงินตามเช็คโดยเฉพาะเพราะฉะนั้น จึงต้องบังคับตามกฎหมายว่าด้วยตัวการตัวแทนไม่ใช่บังคับตามกฎหมายว่าด้วยตั๋วเงิน
ที่ตัวแทนต้องรับผิดในเมื่อตัวการอยู่ต่างประเทศนั้นเป็นการเพิ่มความรับผิดให้แก่ตัวแทน หาได้หมายความว่าตัวการหมดความรับผิดไม่
การฟ้องเรียกหนี้ตามเช็คที่ออกให้โดยตัวแทน เพื่อชำระหนี้เงินที่ตัวแทนได้รับจากโจทก์ไปใช้ในกิจการของตัวการนั้น ไม่ใช่การฟ้องเรียกเงินตามเช็คโดยเฉพาะเพราะฉะนั้น จึงต้องบังคับตามกฎหมายว่าด้วยตัวการตัวแทนไม่ใช่บังคับตามกฎหมายว่าด้วยตั๋วเงิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 788/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของตัวการและตัวแทนตามกฎหมายตัวการตัวแทน กรณีเช็คและการจำกัดอำนาจ
ข้อจำกัดอำนาจของตัวแทนไม่ให้ตัวแทนกู้ยืมเงินได้นั้น เป็นการภายในระหว่างตัวการกับตัวแทน ถ้าบุคคลภายนอกไม่รู้ถึงข้อจำกัดดังกล่าวตัวการย่อมไม่พ้นความรับผิด
ที่ตัวแทนต้องรับผิดในเมื่อตัวการอยู่ต่างประเทศนั้น เป็นการเพิ่มความรับผิดให้แก่ตัวแทน หาได้หมายความว่าตัวการหมดความรับผิดไม่
การฟ้องเรียกหนี้ตามเช็คที่ออกให้โดยตัวแทน เพื่อชำระหนี้เงินที่ตัวแทนได้รับจากโจทก์ไปใช้ในกิจการของตัวการนั้น ไม่ใช่การฟ้องเรียกตามเช็คโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้น จึงต้องบังคับตามกฎหมายว่าด้วยตัวการตัวแทน ไม่ใช่บังคับตามกฎหมายว่าด้วยตั๋วเงิน.
ที่ตัวแทนต้องรับผิดในเมื่อตัวการอยู่ต่างประเทศนั้น เป็นการเพิ่มความรับผิดให้แก่ตัวแทน หาได้หมายความว่าตัวการหมดความรับผิดไม่
การฟ้องเรียกหนี้ตามเช็คที่ออกให้โดยตัวแทน เพื่อชำระหนี้เงินที่ตัวแทนได้รับจากโจทก์ไปใช้ในกิจการของตัวการนั้น ไม่ใช่การฟ้องเรียกตามเช็คโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้น จึงต้องบังคับตามกฎหมายว่าด้วยตัวการตัวแทน ไม่ใช่บังคับตามกฎหมายว่าด้วยตั๋วเงิน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1523/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของตัวการต่อหนี้ที่ตัวแทนก่อขึ้นจากการทำสัญญาซื้อขายเพื่อสร้างโรงน้ำแข็ง
เมื่อฟ้องของโจทก์ในข้อ 2 กล่าวว่าจำเลยที่ 2 เชิดจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของและผู้จัดการโรงน้ำแข็ง จำเลยที่ 1 ซื้อเชื่อเครื่องก่อสร้างไปสร้างโรงน้ำแข็ง จึงขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ดังนี้ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องตัวการตัวแทนได้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
อนึ่งเมื่อฟังว่าตามทะเบียนแท้จริงจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของโรงน้ำแข็ง แม้ภายหลังจำเลยที่ 1 ที่ 2 พิพาทกัน ศาลพิพากษาว่าโรงน้ำแข็งเป็นของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างก็ตาม เมื่อการก่อสร้างโรงน้ำแข็งรายนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ดังนี้ จำเลยที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของโรงนี้แข็งรายนี้จำต้องรับผิดในฐานะเป็นตัวการของจำเลยที่ 1 โดยตรงตามกฎหมาย.
อนึ่งเมื่อฟังว่าตามทะเบียนแท้จริงจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของโรงน้ำแข็ง แม้ภายหลังจำเลยที่ 1 ที่ 2 พิพาทกัน ศาลพิพากษาว่าโรงน้ำแข็งเป็นของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างก็ตาม เมื่อการก่อสร้างโรงน้ำแข็งรายนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ดังนี้ จำเลยที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของโรงนี้แข็งรายนี้จำต้องรับผิดในฐานะเป็นตัวการของจำเลยที่ 1 โดยตรงตามกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1523/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของตัวการต่อการกระทำของตัวแทนในการก่อสร้างโรงน้ำแข็ง
เมื่อฟ้องของโจทก์ในข้อ 2 กล่าวว่า จำเลยที่ 2 เชิดจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของและผู้จัดการโรงน้ำแข็ง จำเลยที่ 1 ซื้อเชื่อเครื่องก่อสร้างไปสร้างโรงน้ำแข็งจึงขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ดังนี้ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องตัวการตัวแทนได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
อนึ่งเมื่อฟังว่าตามทะเบียนแท้จริงจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของโรงน้ำแข็ง แม้ภายหลังจำเลยที่ 1 ที่ 2 พิพาทกัน ศาลพิพากษาว่าโรงน้ำแข็งเป็นของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างก็ตาม เมื่อการก่อสร้างโรงน้ำแข็งรายนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ดังนี้จำเลยที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของโรงน้ำแข็งรายนี้จำต้องรับผิดในฐานะเป็นตัวการของจำเลยที่ 1 โดยตรงตามกฎหมาย
อนึ่งเมื่อฟังว่าตามทะเบียนแท้จริงจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของโรงน้ำแข็ง แม้ภายหลังจำเลยที่ 1 ที่ 2 พิพาทกัน ศาลพิพากษาว่าโรงน้ำแข็งเป็นของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างก็ตาม เมื่อการก่อสร้างโรงน้ำแข็งรายนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ดังนี้จำเลยที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของโรงน้ำแข็งรายนี้จำต้องรับผิดในฐานะเป็นตัวการของจำเลยที่ 1 โดยตรงตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 704/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนบริษัทจำกัด: การรับผิดจากกิจการของตัวแทน แม้ไม่มีการแสดงเจตนาโดยตรงจากบริษัท
อัยการดำเนินกิจการบริษัทจำกัดนั้น บริษัทหาจำต้องแสดงเจตนาโดยผู้เทนของบริษัทจำกัดเสมอไปไม่ บริษัทอาจถือเอาประโยชน์และต้องรับผิดจากการกระทำโดยทางตัวแทนของบริษัทก็ได้
ถ้าข้อเท็จจริงเป็นที่เห็นได้ว่าบริษัทจำเลยได้เชิดบุคคลหนึ่งหรือกว่านั้นให้เป็นตัวแทนของบริษัทจำเลยในการซื้อขายกับบริษัทโจทก์ย่อมถือได้แล้วว่าบริษัทจำเลยต้องรับผิดจากการกระทำโดยทางตัวแทนที่ตนเชิดนั้น
ตามที่ประทับบนเอกสารปรากฏชัดเจนว่าเป็นตราชื่อบริษัทจำเลย บริษัทจำเลยจะโต้แย้งว่ไม่ใช่หรือมีการปลอมแปลงอย่างไรก็น่าที่จำเลยจะสืบแสดงให้ชัดเจนได้โดยง่าย คำของพยานจำเลยที่เพียงเบิกความว่าจำไม่ได้หาทำให้ตราชื่อของบริษัทจำเลยเป็นตราปลอมไปไม่ได้.
ถ้าข้อเท็จจริงเป็นที่เห็นได้ว่าบริษัทจำเลยได้เชิดบุคคลหนึ่งหรือกว่านั้นให้เป็นตัวแทนของบริษัทจำเลยในการซื้อขายกับบริษัทโจทก์ย่อมถือได้แล้วว่าบริษัทจำเลยต้องรับผิดจากการกระทำโดยทางตัวแทนที่ตนเชิดนั้น
ตามที่ประทับบนเอกสารปรากฏชัดเจนว่าเป็นตราชื่อบริษัทจำเลย บริษัทจำเลยจะโต้แย้งว่ไม่ใช่หรือมีการปลอมแปลงอย่างไรก็น่าที่จำเลยจะสืบแสดงให้ชัดเจนได้โดยง่าย คำของพยานจำเลยที่เพียงเบิกความว่าจำไม่ได้หาทำให้ตราชื่อของบริษัทจำเลยเป็นตราปลอมไปไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 704/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บริษัทจำกัดต้องรับผิดต่อการกระทำของตัวแทน แม้ไม่ได้แสดงเจตนาโดยตรง
อันการดำเนินกิจการของบริษัทจำกัดนั้นบริษัทหาจำต้องแสดงเจตนาโดยผู้แทนของบริษัทจำกัดเสมอไปไม่ บริษัทอาจถือเอาประโยชน์และต้องรับผิดจากการกระทำโดยทางตัวแทนของบริษัทก็ได้
ถ้าข้อเท็จจริงเป็นที่เห็นได้ว่าบริษัทจำเลยได้เชิดบุคคลคนหนึ่งหรือกว่านั้นให้เป็นตัวแทนของบริษัทจำเลยในการซื้อขายกับบริษัทโจทก์ย่อมถือได้แล้วว่าบริษัทจำเลยต้องรับผิดจากการกระทำโดยทางตัวแทนที่ตนเชิดนั้น
ตราที่ประทับบนเอกสารปรากฏชัดเจนว่าเป็นตราชื่อบริษัทจำเลยบริษัทจำเลยจะโต้แย้งว่าไม่ใช่หรือมีการปลอมแปลงอย่างไรก็น่าที่จำเลยจะสืบแสดงให้เห็นชัดแจ้งได้โดยง่ายคำของพยานจำเลยที่เพียงเบิกความว่าไม่ได้หาทำให้ตราชื่อของบริษัทจำเลยเป็นตราปลอมไปได้ไม่
ถ้าข้อเท็จจริงเป็นที่เห็นได้ว่าบริษัทจำเลยได้เชิดบุคคลคนหนึ่งหรือกว่านั้นให้เป็นตัวแทนของบริษัทจำเลยในการซื้อขายกับบริษัทโจทก์ย่อมถือได้แล้วว่าบริษัทจำเลยต้องรับผิดจากการกระทำโดยทางตัวแทนที่ตนเชิดนั้น
ตราที่ประทับบนเอกสารปรากฏชัดเจนว่าเป็นตราชื่อบริษัทจำเลยบริษัทจำเลยจะโต้แย้งว่าไม่ใช่หรือมีการปลอมแปลงอย่างไรก็น่าที่จำเลยจะสืบแสดงให้เห็นชัดแจ้งได้โดยง่ายคำของพยานจำเลยที่เพียงเบิกความว่าไม่ได้หาทำให้ตราชื่อของบริษัทจำเลยเป็นตราปลอมไปได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1704/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แม้มีชื่อเป็นผู้เช่า แต่หากเป็นภรรยาผู้เช่าหลัก ย่อมตกเป็นบริวารตามยอม
เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่นางเจิมในคดีแดงที่ 722/2493 ศาลพิพากษาให้ขับไล่นางเจิม โจทก์อ้างว่าจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นสามีภรรยาเป็นบริวารของนางเจิมขอให้ขับไล่ด้วย จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ใช่บริวารของนางเจิม นางอุไรภรรยาเป็นผู้เช่าจากนางเจิมได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
โจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่สามีที่สุดโจทก์กับสามีตกลงประนีประนอมยอมความกันที่ศาล คือโจทก์ยอมให้สามีเช่าอยู่ต่อไปอีก 2 ปี ครบกำหนดโจทก์ขอให้ศาลบังคับสามีและภรรยา สามียอมออกแต่ภรรยาไม่ยอมออก อ้างว่าตนเป็นผู้เช่าได้รับความคุ้มครอง คำพิพากษาย่อมไม่ผูกพันตนเพราะตนเป็นผู้เช่าสามีไม่มีอำนาจไปทำยอม และได้หย่าขาดจากสามีภรรยาก่อนศาลพิพากษาตามยอมแล้ว
ดังนี้แม้จะได้ความว่าภรรยามีชื่อเป็นผู้เช่า แต่ขณะนั้นสามีภรรยายังอยู่กินในห้องพิพาท เวลาทำสัญญาสามีก็มาด้วยและลงชื่อเป็นพยานในสัญญาเช่า เมื่อคราวศาลเรียกสามีภรรยามาสอบในคดีก่อนคือคดีแดงที่ 722/2493 ภรรยาทราบแต่ไม่มา สามีมาแถลงต่อศาลว่าตนกับภรรยาอยู่ในห้องโดยตนเป็นผู้เช่าจากนางเจิม เมื่อสามีทำยอมกับโจทก์ที่ศาล ภรรยาก็ทราบระหว่างนั้นภรรยายังนำค่าเช่ามาชำระให้โจทก์ด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นชัดว่าภรรยายอมถือว่าสามีเป็นผู้เช่าห้องพิพาทภรรยาย่อมตกเป็นบริวาร ที่ภรรยาอ้างว่าหย่าขาดนั้นเป็นเพียงโล่ห์บังหน้าเพื่อเลี่ยงการบังคับ
โจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่สามีที่สุดโจทก์กับสามีตกลงประนีประนอมยอมความกันที่ศาล คือโจทก์ยอมให้สามีเช่าอยู่ต่อไปอีก 2 ปี ครบกำหนดโจทก์ขอให้ศาลบังคับสามีและภรรยา สามียอมออกแต่ภรรยาไม่ยอมออก อ้างว่าตนเป็นผู้เช่าได้รับความคุ้มครอง คำพิพากษาย่อมไม่ผูกพันตนเพราะตนเป็นผู้เช่าสามีไม่มีอำนาจไปทำยอม และได้หย่าขาดจากสามีภรรยาก่อนศาลพิพากษาตามยอมแล้ว
ดังนี้แม้จะได้ความว่าภรรยามีชื่อเป็นผู้เช่า แต่ขณะนั้นสามีภรรยายังอยู่กินในห้องพิพาท เวลาทำสัญญาสามีก็มาด้วยและลงชื่อเป็นพยานในสัญญาเช่า เมื่อคราวศาลเรียกสามีภรรยามาสอบในคดีก่อนคือคดีแดงที่ 722/2493 ภรรยาทราบแต่ไม่มา สามีมาแถลงต่อศาลว่าตนกับภรรยาอยู่ในห้องโดยตนเป็นผู้เช่าจากนางเจิม เมื่อสามีทำยอมกับโจทก์ที่ศาล ภรรยาก็ทราบระหว่างนั้นภรรยายังนำค่าเช่ามาชำระให้โจทก์ด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นชัดว่าภรรยายอมถือว่าสามีเป็นผู้เช่าห้องพิพาทภรรยาย่อมตกเป็นบริวาร ที่ภรรยาอ้างว่าหย่าขาดนั้นเป็นเพียงโล่ห์บังหน้าเพื่อเลี่ยงการบังคับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1704/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตกเป็นบริวารจากการกระทำต่อเนื่อง แม้มีการจดทะเบียนหย่า ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการบังคับคดีได้
เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่นางเจิมในคดีแดงที่ 722/2493 ศาลพิพากษาให้ขับไล่นางเจิม โจทก์อ้างว่าจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นสามีภรรยาเป็นบริวารของนางเจิมขอให้ขับไล่ด้วยจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ใช่บริวารของนางเจิม นางอุไร ภรรยาเป็นผู้เช่าจากนางเจิมได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ
โจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่สามีที่สุดโจทก์กับสามีตกลงประนีประนอมยอมความกันที่ศาล คือโจทก์ยอมให้สาลีเช่าอยู่ต่อไปอีก 2 ปี ครบกำหนดโจทก์ขอให้ศาลบังคับสามีและภรรยา สามียอมออกแต่ภรรยาไม่ยอมออก อ้างว่าตนเป็นผู้เช่าได้รับความคุ้มครอง คำพิพากษาย่อมไม่ผูกพันตนเพราะตนเป็นผู้เช่าสามีไม่มีอำนาจไปทำยอม และได้หย่าขาดจากสามีภรรยาก่อนศาลพิพากษาตามยอมแล้ว
ดังนี้แม้จะได้ความว่าภรรยามีชื่อเป็นผู้เช่า แต่ขณะนั้นสามีภรรยายังอยู่กินในห้องพิพาท เวลาทำสัญญาสามีก็มาด้วยและลงชื่อเป็นพยานในสัญญาเช่า เมื่อคราวศาลเรียกสามีภรรยามาสอบในคดีก่อนคือคดีแดงที่ 722/2493 ภรรยาทราบแต่ไม่มา สามีมาแถลงต่อศาลว่าตนกับภรรยาอยู่ในห้องโดยตนเป็นผู้เช่าจากนางเจิม เมื่อสามีทำยอมกับโจทก์ที่ศาลภรรยาก็ทราบระหว่างนั้นภรรยายังนำค่าเช่ามาชำระให้โจทก์ด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นชัดว่าภรรยายอมถือว่าสามีเป็นผู้เช่าห้องพิพาทภรรยาย่อมตกเป็นบริวาร ที่ภรรยาอ้างว่าหย่าขาดนั้นเป็นเพียงโล่ห์บังหน้าเพื่อเลี่ยงการบังคับ
โจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่สามีที่สุดโจทก์กับสามีตกลงประนีประนอมยอมความกันที่ศาล คือโจทก์ยอมให้สาลีเช่าอยู่ต่อไปอีก 2 ปี ครบกำหนดโจทก์ขอให้ศาลบังคับสามีและภรรยา สามียอมออกแต่ภรรยาไม่ยอมออก อ้างว่าตนเป็นผู้เช่าได้รับความคุ้มครอง คำพิพากษาย่อมไม่ผูกพันตนเพราะตนเป็นผู้เช่าสามีไม่มีอำนาจไปทำยอม และได้หย่าขาดจากสามีภรรยาก่อนศาลพิพากษาตามยอมแล้ว
ดังนี้แม้จะได้ความว่าภรรยามีชื่อเป็นผู้เช่า แต่ขณะนั้นสามีภรรยายังอยู่กินในห้องพิพาท เวลาทำสัญญาสามีก็มาด้วยและลงชื่อเป็นพยานในสัญญาเช่า เมื่อคราวศาลเรียกสามีภรรยามาสอบในคดีก่อนคือคดีแดงที่ 722/2493 ภรรยาทราบแต่ไม่มา สามีมาแถลงต่อศาลว่าตนกับภรรยาอยู่ในห้องโดยตนเป็นผู้เช่าจากนางเจิม เมื่อสามีทำยอมกับโจทก์ที่ศาลภรรยาก็ทราบระหว่างนั้นภรรยายังนำค่าเช่ามาชำระให้โจทก์ด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นชัดว่าภรรยายอมถือว่าสามีเป็นผู้เช่าห้องพิพาทภรรยาย่อมตกเป็นบริวาร ที่ภรรยาอ้างว่าหย่าขาดนั้นเป็นเพียงโล่ห์บังหน้าเพื่อเลี่ยงการบังคับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1704/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บริวารในสัญญาเช่า: แม้ชื่อเป็นผู้เช่า แต่พฤติการณ์แสดงถึงการเป็นบริวารของสามี ทำให้ต้องออกไปกับสามีเมื่อถูกบังคับคดี
เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่นางเจิมในคดีแดงที่ 722/2493 ศาลพิพากษาให้ขับไล่นางเจิม โจทก์อ้างว่าจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นสามีภรรยาเป็นบริวารของนางเจิมขอให้ขับไล่ด้วย จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ใช่บริวารของนางเจิม นางอุไรภรรยาเป็นผู้เช่าจากนางเจิมได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
โจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่สามีที่สุดโจทก์กับสามีตกลงประนีประนอมยอมความกันที่ศาล คือโจทก์ยอมให้สามีเช่าอยู่ต่อไปอีก 2 ปี ครบกำหนดโจทก์ขอให้ศาลบังคับสามีและภรรยา สามียอมออกแต่ภรรยาไม่ยอมออก อ้างว่าตนเป็นผู้เช่าได้รับความคุ้มครอง คำพิพากษาย่อมไม่ผูกพันตนเพราะตนเป็นผู้เช่าสามีไม่มีอำนาจไปทำยอม และได้หย่าขาดจากสามีภรรยาก่อนศาลพิพากษาตามยอมแล้ว
ดังนี้แม้จะได้ความว่าภรรยามีชื่อเป็นผู้เช่า แต่ขณะนั้นสามีภรรยายังอยู่กินในห้องพิพาท เวลาทำสัญญาสามีก็มาด้วยและลงชื่อเป็นพยานในสัญญาเช่า เมื่อคราวศาลเรียกสามีภรรยามาสอบในคดีก่อนคือคดีแดงที่ 722/2493 ภรรยาทราบแต่ไม่มา สามีมาแถลงต่อศาลว่าตนกับภรรยาอยู่ในห้องโดยตนเป็นผู้เช่าจากนางเจิม เมื่อสามีทำยอมกับโจทก์ที่ศาล ภรรยาก็ทราบระหว่างนั้นภรรยายังนำค่าเช่ามาชำระให้โจทก์ด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นชัดว่าภรรยายอมถือว่าสามีเป็นผู้เช่าห้องพิพาทภรรยาย่อมตกเป็นบริวาร ที่ภรรยาอ้างว่าหย่าขาดนั้นเป็นเพียงโล่ห์บังหน้าเพื่อเลี่ยงการบังคับ
โจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่สามีที่สุดโจทก์กับสามีตกลงประนีประนอมยอมความกันที่ศาล คือโจทก์ยอมให้สามีเช่าอยู่ต่อไปอีก 2 ปี ครบกำหนดโจทก์ขอให้ศาลบังคับสามีและภรรยา สามียอมออกแต่ภรรยาไม่ยอมออก อ้างว่าตนเป็นผู้เช่าได้รับความคุ้มครอง คำพิพากษาย่อมไม่ผูกพันตนเพราะตนเป็นผู้เช่าสามีไม่มีอำนาจไปทำยอม และได้หย่าขาดจากสามีภรรยาก่อนศาลพิพากษาตามยอมแล้ว
ดังนี้แม้จะได้ความว่าภรรยามีชื่อเป็นผู้เช่า แต่ขณะนั้นสามีภรรยายังอยู่กินในห้องพิพาท เวลาทำสัญญาสามีก็มาด้วยและลงชื่อเป็นพยานในสัญญาเช่า เมื่อคราวศาลเรียกสามีภรรยามาสอบในคดีก่อนคือคดีแดงที่ 722/2493 ภรรยาทราบแต่ไม่มา สามีมาแถลงต่อศาลว่าตนกับภรรยาอยู่ในห้องโดยตนเป็นผู้เช่าจากนางเจิม เมื่อสามีทำยอมกับโจทก์ที่ศาล ภรรยาก็ทราบระหว่างนั้นภรรยายังนำค่าเช่ามาชำระให้โจทก์ด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นชัดว่าภรรยายอมถือว่าสามีเป็นผู้เช่าห้องพิพาทภรรยาย่อมตกเป็นบริวาร ที่ภรรยาอ้างว่าหย่าขาดนั้นเป็นเพียงโล่ห์บังหน้าเพื่อเลี่ยงการบังคับ