พบผลลัพธ์ทั้งหมด 237 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันคู่กรณี หากไม่โต้แย้งสิทธิในเวลาที่กำหนด ย่อมไม่อาจฟ้องเพิกถอนได้ภายหลัง
สัญญาประนีประนอมยอมความที่คู่กรณีตกลงกันต่อหน้าศาล และศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้วนั้น มีผลทำให้หนี้เดิมระงับ เกิดหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งคู่กรณีต้องปฏิบัติตามสัญญานั้น หากโจทก์เห็นว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ถูกต้องก็อาจจะอุทธรณ์ได้หากเข้ากรณีตามมาตรา 138 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์และคดีถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนได้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อตกลงว่า จะบังคับชำระหนี้ด้วยวิธีการให้โจทก์โอนที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยเพื่อชำระหนี้เงินกู้ ดังนี้ ข้อตกลงนั้นไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อตกลงว่า จะบังคับชำระหนี้ด้วยวิธีการให้โจทก์โอนที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยเพื่อชำระหนี้เงินกู้ ดังนี้ ข้อตกลงนั้นไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: ผลผูกพัน & สิทธิในการฟ้องเพิกถอนหลังคดีถึงที่สุด
สัญญาประนีประนอมยอมความที่คู่กรณีตกลงกันต่อหน้าศาล และศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้วนั้น มีผลทำให้หนี้เดิมระงับ เกิดหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งคู่กรณีต้องปฏิบัติตามสัญญานั้น หากโจทก์เห็นว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ถูกต้องก็อาจจะอุทธรณ์ได้หากเข้ากรณีตามมาตรา 138 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์และคดีถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนได้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อตกลงว่า จะบังคับชำระหนี้ด้วยวิธีการให้โจทก์โอนที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยเพื่อชำระหนี้เงินดังนี้ ข้อตกลงนั้นไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: การอุทธรณ์และการบังคับคดี หากไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์แล้ว สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพัน
หากโจทก์เห็นว่าข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอมนั้นไม่ถูกต้อง ก็ชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมดังกล่าวได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 138 เมื่อโจทก์ ไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์และคดีถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นคดีใหม่ได้อีก การบังคับคดีเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นต้องว่ากล่าวกันในคดีที่มีคำพิพากษาตามยอม ไม่มีอำนาจมาฟ้องบังคับเป็นคดีใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 579/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่ออายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีโดยปริยาย และสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น
หลังจากวันครบกำหนดตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้ว จำเลยยังคงเบิกเงินจากบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีเรื่อยมา โจทก์และจำเลยมิได้ถือกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นข้อสาระสำคัญตามพฤติการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า โจทก์และจำเลยตกลงโดยปริยายต่ออายุสัญญาบัญชีเดินสะพัดออกไปโดยไม่มีกำหนดเวลาจะต้องมีการบอกเลิกสัญญาตามมาตรา 859 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สัญญาจึงจะเลิกกัน โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันบอกเลิกสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 579/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีต่ออายุโดยปริยาย การคิดดอกเบี้ยทบต้นหลังหมดอายุสัญญา
ธนาคารโจทก์กับจำเลยมิได้ถือกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นข้อสาระสำคัญ แต่ได้ตกลงกันโดยปริยายต่ออายุสัญญาบัญชีเดินสะพัดออกไปโดยไม่มีกำหนดเวลา โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นต่อมาได้จนกว่าจะมีการบอกเลิกสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 859.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 513/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จ-เบิกความเท็จ: การพิจารณาความผิดกรรมเดียว-หลายบท และอำนาจศาลฎีกาในการวินิจฉัยข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ 2 กระทงฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ฐานเบิกความเท็จอีก 2 กระทงฐานแจ้งความเท็จกระทงแรกจำคุก 1 ปี ฐานใช้เอกสารปลอมกับแจ้งความเท็จกระทงหลังให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมจำคุก 2 ปี ฐานเบิกความเท็จจำคุกกระทงละ 3 ปี รวมเป็นโทษจำคุก 9 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 6 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานใช้เอกสารปลอม กระทงหนึ่ง จำคุก 6 เดือน และจำเลยมีความผิดฐานเบิกความเท็จกระทงเดียวจำคุก 6 เดือน รวมเป็นจำคุก 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก 8 เดือน เป็นการแก้ไขเพียงเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี ความผิดฐานใช้เอกสารปลอมและเบิกความเท็จจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคแรก แม้ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยในความผิดฐานแจ้งความเท็จและยังไม่ได้ชี้ขาดข้อเท็จจริงว่าข้อความที่จำเลยแจ้งความต่อร้อยตำรวจโทป. เป็นเท็จหรือไม่ แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา การที่จำเลยไปแจ้งความว่าโจทก์ออกเช็คให้แก่จำเลยทั้งที่ความจริงโจทก์ออกเช็คให้แก่ ว. ทำให้จำเลยกลายเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์ การแจ้งความดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ การที่จำเลยเบิกความสองครั้งในคดีเดียวกันคือในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้นพิจารณาแม้จะเป็นการเบิกความคนละคราว แต่ก็เป็นการนำสาระสำคัญของข้อความในเรื่องเดียวกัน มูลเหตุเดียวกันมากล่าวอีกครั้งโดยมีเจตนาให้โจทก์ต้องโทษในคดีเดียวกันเท่านั้น จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละประเด็นข้อกฎหมายในชั้นศาลและการไม่รับวินิจฉัยปัญหาอำนาจฟ้องและฟ้องเคลือบคลุม
แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กะประเด็นทั้งสองข้อนี้ไว้และจำเลยมิได้โต้แย้ง ถือได้ว่าจำเลยได้สละประเด็นข้อนี้แล้วเท่ากับไม่ได้มีการว่ากล่าวทั้งสองประเด็นนี้ในศาลชั้นต้น และปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนส่วนปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง แม้จำเลยอาจยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกาได้โดยถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็ไม่มีเหตุสมควรที่จะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเช่าซื้อ: เจ้าของกรรมสิทธิ์, สัญญาประธาน, อายุความค่าขาดประโยชน์
จำเลยให้การต่อสู้ไว้แล้วว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์พิพาทและศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาได้วินิจฉัยแต่เพียงว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลจึงมีอำนาจฟ้อง โดยมิได้วินิจฉัยเรื่องโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทหรือไม่ อันจะเป็นข้อเท็จจริงที่นำไปสู่การปรับบทกฎหมายว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ตามที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหานี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัย จึงไม่ชอบ โจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลย แม้ขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ยังไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทที่ให้เช่าซื้อก็ตาม แต่บริษัท ท.เจ้าของรถยนต์พิพาทยอมให้โจทก์นำรถยนต์พิพาทออกให้ผู้อื่นเช่าซื้อได้และโจทก์สามารถโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยได้ หากจำเลยชำระเงินค่าเช่าซื้อครบตามสัญญา ดังนี้จำเลยต้องผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะกลับมาอ้างว่าขณะทำสัญญาโจทก์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อจึงไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่ ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาทกับค่าใช้จ่ายในการติดตามรถยนต์พิพาท ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสัญญาเช่าซื้อ, เจ้าของสัญญา, และดุลพินิจค่าฤชาธรรมเนียม
โจทก์เช่าซื้อรถยนต์พิพาทมาจาก ท. แล้วจำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน แม้ขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ยังไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทที่ให้เช่าซื้อแต่ ท. ยอมให้โจทก์นำรถยนต์พิพาทออกให้ผู้อื่นเช่าซื้อได้และโจทก์สามารถโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ได้หากจำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าเช่าซื้อครบตามสัญญา จำเลยที่ 1ต้องผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อ จะอ้างว่าขณะทำสัญญาโจทก์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อ จึงไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่ จำเลยทั้งสองมิได้กล่าวไว้ในอุทธรณ์ว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างไรบ้าง จึงเป็นการอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวไว้ชัดแจ้งในอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์มีอำนาจไม่รับวินิจฉัยได้ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกา ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาทกับค่าใช้จ่ายในการติดตามรถยนต์พิพาทไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 การที่จะพิจารณาให้คู่ความใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนั้น เป็นเรื่องการใช้ดุลพินิจ ของศาลโดยคำนึงถึงเหตุผลและความสุจริตในการดำเนินคดีของคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 161.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 382/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาห้ามในปัญหาข้อเท็จจริงฐานมีอาวุธปืน และพิจารณาความผิดฐานพยายามฆ่าจากพยานหลักฐาน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมืองโดยมิได้รับอนุญาต จำคุกไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต และขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตในสถานเบาเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว