พบผลลัพธ์ทั้งหมด 259 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมรสซ้อนเป็นโมฆะ ผู้มีส่วนได้เสียร้องขอได้
เมื่อข้อเท็จจริงตามคำร้องปรากฏว่านาง จ. ได้รับความเสียหายจากการที่นาย ส. จดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่นแล้วมาจดทะเบียนสมรสซ้อนกับนาง จ. อีก นาง จ. จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้อัยการเป็นผู้ร้องขอต่อศาลว่าการสมรสระหว่างนาย ส. กับนาง จ. เป็นโมฆะ โดยทำเป็นคำร้องขอได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1497
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมรสซ้อนเป็นโมฆะ ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิร้องขอให้ศาลพิพากษา
จ. ได้รับความเสียหายจากการที่ ส. จดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่นแล้วมาจดทะเบียนสมรสซ้อน กับ จ. อีก จ. จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้อัยการเป็นผู้ร้องต่อศาลให้พิพากษาว่าการสมรสระหว่าง ส. กับ จ. เป็นโมฆะตาม ป.พ.พ.มาตรา 1497 ส.จดทะเบียนสมรสกับจ.ร.มาก่อนตั้งแต่ พ.ศ. 2515ต่อมา ส. จดทะเบียนสมรสซ้อน กับนาง จ. อีก เมื่อวันที่ 22มกราคม 2523 การกระทำของ ส. จึงเป็นการฝ่าฝืน ป.พ.พ.มาตรา 1452 การสมรสครั้งหลังจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 1496.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 91/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอดถอนผู้จัดการมรดกที่จงใจละเลยหน้าที่ และการแต่งตั้งบุตรผู้ตายเป็นผู้จัดการมรดกแทน
การที่ผู้คัดค้านจงใจไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดก ภายในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดโดยมีพฤติการณ์ที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่กองมรดกและทายาทอื่น ดังนี้เป็นเหตุสมควรถอดถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อยังมีทรัพย์มรดกของผู้ตาย เพื่อจัดการต่อไปภายหลังที่เพิกถอนผู้จัดการมรดกแล้ว เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องทั้งสองเป็นบุตรของผู้ตายทั้งไม่เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติต้องห้ามในการเป็นผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1718 ผู้ร้องทั้งสองจึงสมควรเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ - หน้าที่ศาลในการพิจารณามูลค่าความเสียหายและหลักประกัน
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยโดยยังไม่ได้สั่งเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยไม่วางเงินหรือหาประกันมาวางเพื่อใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและหนี้ตามคำพิพากษา โดยไม่ได้ส่งไปให้ศาลอุทธรณ์สั่งย่อมเป็นการไม่ชอบเพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ และถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาฝ่าฝืนไม่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางศาลหรือหาประกันให้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 จึงชอบที่จะสั่งให้จำเลยนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดเวลาที่ศาลเห็นสมควร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ จำเป็นต้องมีการวางเงินหรือหาประกันตามคำพิพากษาหรือไม่
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ โดยมิได้นำเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางหรือหาประกันมาให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ โดยมิได้สั่งเรื่องจำเลยไม่วางเงินและมิได้ส่งไปให้ศาลอุทธรณ์สั่ง เป็นการไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเพราะจำเลยมิได้นำเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางหรือหาประกันมาให้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่มีเจตนาฝ่าฝืนศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้จำเลยนำเงินมาวางหรือหาประกันมาให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นภายในเวลากำหนด แล้วให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้องของจำเลยไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อสั่งต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์และการพิจารณาเจตนาชำระหนี้ค่าฤชาธรรมเนียม
คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยว่าอุทธรณ์ภายในกำหนดรับอุทธรณ์นั้นไม่ชอบ กรณีดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอุทธรณ์สั่งและการที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้โดยไม่ได้กำหนดให้จำเลยวางเงินหรือหาประกันมาวางศาลใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและหนี้คำพิพากษาถือไม่ได้ว่าจำเลยเจตนาฝ่าฝืนไม่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางศาล หรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีกู้ยืมเงิน แม้เงินกู้มาจากบุคคลอื่น หากมีเจตนาช่วยเหลือผู้ให้กู้
จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ไว้ แม้เงินกู้ที่จำเลยที่ 1รับไป จะเป็นเงินของมารดาโจทก์และมารดาโจทก์เป็นผู้มอบเงินกู้ให้แก่จำเลยที่ 1 ก็เป็นเรื่องที่ มารดา โจทก์มีเจตนาช่วย ออกเงินกู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นบุตร โจทก์ในฐานะเป็นผู้ให้กู้ จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้ และฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องผู้ให้กู้ แม้เงินกู้มาจากผู้อื่น: กรณีมารดาออกเงินกู้แทนบุตร
จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์โดยมารดาโจทก์เป็นผู้ออกเงินกู้และมอบให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นเรื่องที่มารดาโจทก์มีเจตนาช่วยออกเงินกู้แทนโจทก์ โจทก์ในฐานะผู้ให้กู้จึงมีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้และฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายที่ดิน: หน้าที่รวบรวมที่ดินเพื่อขาย ไม่ใช่ต้องได้กรรมสิทธิ์ก่อน
จำเลยทั้งสองตกลงให้โจทก์รวบรวมที่ดินเพื่อนำมาขายให้แก่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์ในราคาไร่ละ 22,000 บาท โจทก์ได้รวบรวมที่ดินตามสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 ได้ตกลงซื้อที่ดินดังกล่าวจากเจ้าของที่ดินโดยตรงโดยโจทก์ยินยอม และโจทก์ได้พาเจ้าของที่ดินไปจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่เจ้าของที่ดินไปไร่ละ 18,000 บาทแล้ว จำเลยที่ 1 ก็มีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ดินส่วนที่ยังขาดอยู่ไร่ละ 4,000 บาท ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินให้แก่โจทก์ การที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา สัญญาจะซื้อขายที่ดินมีข้อความว่า โจทก์ตกลงเป็นผู้รวบรวมที่ดินทั้งหกโฉนด เพื่อขายให้แก่จำเลยที่ 1 สาระสำคัญของสัญญาดังกล่าวจึงมีเพียงว่า โจทก์มีหน้าที่จัดการรวบรวมที่ดินทั้งหกโฉนด นั้นมาเพื่อขายให้แก่จำเลยที่ 1 เท่านั้น หาได้ผูกพันถึงขนาดว่าโจทก์จะต้องรวบรวมที่ดินทั้งหกโฉนด นั้นให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ก่อนเพื่อจัดการโอนขายให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อไปแต่อย่างใดไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6294/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินเนื่องจากถูกหลอกลวง เกินอายุความบอกล้าง
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าโจทก์ทำนิติกรรมขายที่ดินพิพาทเพราะถูกจำเลยหลอก ลวงให้หลงเชื่อว่าน้ำจะท่วมที่ดินพิพาทจากการสร้างเขื่อนอันเป็นการอ้างเหตุว่าจำเลยใช้กลฉ้อฉลโจทก์ เป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 121แต่โจทก์มิได้บอกล้างและฟ้องคดีเมื่อเวลาได้ล่วงไปเกิน 10 ปีแล้วนับแต่เมื่อโจทก์ทำนิติกรรมขายที่ดินพิพาทให้จำเลย โจทก์จึงบอกล้างไม่ได้และไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 143.