คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 254 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 824/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยเช็คและการพิสูจน์การชำระหนี้จริง การได้รับเช็คคืนไม่ได้แสดงการชำระหนี้
จำเลยทำสัญญาซื้อสินค้าจากโจทก์โดยออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์ไว้แม้ว่าต่อมาจำเลยจะได้เช็คดังกล่าวคืนมาจากโจทก์ ก็มิใช่หลักฐานที่แสดงว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามเช็คนั้นแล้ว เป็นแต่เพียงจำเลย ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับ ไปแล้วเท่านั้น เมื่อคู่ความยังโต้เถียงกันอยู่ในประเด็นดังกล่าว ศาลจึงต้องรับฟังพยานหลักฐานของคู่ความต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 339/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พินัยกรรมฉบับหลังมีผลเพิกถอนพินัยกรรมฉบับแรก ผู้ไม่มีส่วนได้เสียไม่มีสิทธิเป็นผู้จัดการมรดก
อ. ทำพินัยกรรมไว้ 2 ฉบับ ฉบับแรกตั้งผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดก ฉบับหลังตั้งผู้คัดค้านทั้งสองกับผู้ร้องที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก เมื่อพินัยกรรมฉบับหลังสมบูรณ์ย่อมมีผลเป็นการเพิกถอนพินัยกรรมฉบับแรกที่ตั้งผู้ร้องที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดก ทั้งผู้ร้องที่ 2 มิได้เป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของ อ. ผู้ร้องที่ 2 จึงไม่มีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ อ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5870/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางในคดีพนัน: ความผิดต้องตรงกับบัญชี ก. พ.ร.บ.การพนัน และผลผูกพันบุคคลภายนอก
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนีได้บังอาจร่วมกันเล่นการพนันรัสเซี่ยนพูล(ผีลาย) ซึ่งเป็นการพนันตามบัญชี ก.อันดับที่ 18 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 พนันเอาทรัพย์สินกันโดยมิได้มีพระราชกฤษฎีกาอนุญาตให้เล่นได้ ซึ่งประเภทของการพนันที่โจทก์ระบุมาในฟ้องไม่ใช่บิลเลียดรู หรือตีผี ดังที่ระบุไว้ในบัญชี ก. อันดับที่ 18 ดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จึงมิใช่การกระทำที่พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478บัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ ดังนั้น แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ และศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้วว่าทรัพย์สินของกลางเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่นการพนันให้ริบก็ตาม คำพิพากษาดังกล่าวก็ไม่ผูกพันผู้ร้อง และกรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ เมื่อการกระทำของจำเลยที่โจทก์กล่าวในฟ้องมิใช่การกระทำที่เป็นความผิด ทรัพย์สินของกลางที่เจ้าพนักงานยึดซึ่งผู้ร้องขอคืนจึงมิใช่อุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่นการพนันที่มาตรา 10วรรค 2 แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจริบได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดด้วยหรือไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5870/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางในคดีพนัน: การกระทำความผิดต้องตรงตามบัญชี ก. ของ พ.ร.บ.การพนัน มิฉะนั้นศาลไม่มีอำนาจริบ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนีได้บังอาจร่วมกันเล่นการพนันรัสเซี่ยนพูล (ผีลาย) ซึ่งเป็นการพนันตามบัญชี ก.อันดับที่ 18 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 พนันเอาทรัพย์สินกันโดยมิได้มีพระราชกฤษฎีกาอนุญาตให้เล่นได้ ซึ่งประเภทของการพนันที่โจทก์ระบุมาในฟ้องไม่ใช่บิลเลียดรู หรือตีผี ดังที่ระบุไว้ในบัญชี ก. อันดับที่ 18 ดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จึงมิใช่การกระทำที่พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478บัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ ดังนั้น แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ และศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้วว่าทรัพย์สินของกลางเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่นการพนันให้ริบก็ตาม คำพิพากษาดังกล่าวก็ไม่ผูกพันผู้ร้อง และกรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ เมื่อการกระทำของจำเลยที่โจทก์กล่าวในฟ้องมิใช่การกระทำที่เป็นความผิด ทรัพย์สินของกลางที่เจ้าพนักงานยึดซึ่งผู้ร้องขอคืนจึงมิใช่อุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่นการพนันที่มาตรา 10วรรค 2 แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจริบได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดด้วยหรือไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5845/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จต้องทำให้คู่ความแพ้ชนะได้ ศาลยกฟ้องหากข้อความไม่กระทบประเด็นสำคัญ
ข้อความที่เป็นข้อสำคัญในคดีในความผิดฐานเบิกความเท็จจะต้องเป็นข้อความที่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีได้ ประเด็นแห่งคดีในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น ได้แก่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่อย่างไรสำหรับคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ที่ว่า ร้านวีดีโอที่โจทก์กับพวกตรวจค้นเป็นของ ว. เช่าจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็แจ้งโจทก์ว่าให้เช่าไปแล้วพร้อมกับนำสัญญาเช่าให้ดูด้วย แล้วโจทก์สั่งให้จำเลยที่ 1 ไปสถานีตำรวจ เมื่อไปถึงโจทก์ให้พนักงานสอบสวนควบคุมตัวจำเลยที่ 1 นั้น แม้เป็นความเท็จ ความจริงไม่มีการนำเอาเอกสารสัญญาเช่ามาแสดง การจับกุมก็กระทำที่ร้านนั่นเองมิใช่ตั้งข้อหาที่สถานีตำรวจ แต่คดีก็ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่มิชอบอย่างไร คงรับฟังได้แต่เพียงว่าโจทก์ได้รับแจ้งจากจำเลยที่ 1 แล้วว่า มีการให้เช่าร้านวีดีโอกันแล้วเท่านั้นมิได้หมายความเลยไปถึงว่า ความจริงเป็นดังที่จำเลยที่ 1 แจ้งแก่โจทก์ และโจทก์ทราบความจริงว่าเป็นเช่นนั้นแล้ว แต่ยังแกล้งตั้งข้อหาและจับกุมจำเลยที่ 1 ข้อความที่จำเลยที่ 2 เบิกความดังกล่าว จึงไม่เป็นข้อความที่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีได้ คำเบิกความของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดีอันจะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5845/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จต้องกระทบประเด็นแพ้ชนะคดี ความจริงที่แจ้งไม่ถึงขั้นพิสูจน์เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
ข้อความที่เป็นข้อสำคัญในคดีในความผิดฐานเบิกความเท็จจะต้องเป็นข้อความที่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันใน ประเด็นแห่งคดีได้
ประเด็นแห่งคดีในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น ได้แก่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่อย่างไรสำหรับคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ที่ว่า ร้านวีดีโอที่โจทก์กับพวกตรวจค้นเป็นของ ว. เช่าจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็แจ้งโจทก์ว่าให้เช่าไปแล้วพร้อมกับนำสัญญาเช่าให้ดูด้วย แล้วโจทก์สั่งให้จำเลยที่ 1 ไปสถานีตำรวจ เมื่อไปถึงโจทก์ให้พนักงานสอบสวนควบคุมตัวจำเลยที่ 1 นั้น แม้เป็นความเท็จ ความจริงไม่มีการนำเอาเอกสารสัญญาเช่ามาแสดง การจับกุมก็กระทำที่ร้านนั่นเองมิใช่ตั้งข้อหาที่สถานีตำรวจ แต่คดีก็ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่มิชอบอย่างไร คงรับฟังได้แต่เพียงว่าโจทก์ได้รับแจ้งจากจำเลยที่ 1 แล้วว่า มีการให้เช่าร้านวีดีโอกันแล้วเท่านั้นมิได้หมายความเลยไปถึงว่า ความจริงเป็นดังที่จำเลยที่ 1 แจ้งแก่โจทก์ และโจทก์ทราบความจริงว่าเป็นเช่นนั้นแล้ว แต่ยังแกล้งตั้งข้อหาและจับกุมจำเลยที่ 1 ข้อความที่จำเลยที่ 2 เบิกความดังกล่าว จึงไม่เป็นข้อความที่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีได้ คำเบิกความของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดีอันจะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5465/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาข้อหาฆ่าและทำร้ายร่างกาย: ผลของการพิพากษาแก้ของศาลอุทธรณ์ทำให้ฎีกาข้อหาเดิมต้องห้าม
โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาร่วมกับพวกฆ่า ล. และร่วมกับพวกทำร้ายร่างกาย ช. ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองข้อหาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดในข้อหาร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายเพียงข้อหาเดียว ย่อมมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในข้อหาความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โจทก์จึงฎีกาในข้อหาความผิดนี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5465/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาถูกยกฟ้องทั้งชั้นต้นและอุทธรณ์ ทำให้ฎีกาขัดต่อหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาร่วมกับพวกฆ่า ล. และร่วมกับพวกทำร้ายร่างกาย ช. ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองข้อหาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดในข้อหาร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายเพียงข้อหาเดียว ย่อมมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในข้อหาความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โจทก์จึงฎีกาในข้อหาความผิดนี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5413/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของผู้สลักหลังเช็คเมื่อเช็คไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ และขอบเขตความรับผิดต่อเจ้าของเช็คเดิม
จำเลยนำเช็คซึ่งบริษัท พ. สั่งจ่ายให้จำเลยมาสลักหลังแล้วแลกเงินสดไปจากโจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงินไม่ได้เนื่องจากธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ให้จำเลยเอาเงินมาคืนและมอบเช็คให้จำเลยไปติดต่อกับบริษัท พ. เอง เพราะโจทก์ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับบริษัทดังกล่าว แสดงว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะเรียกร้องเอาเงินตามเช็คจากผู้สั่งจ่าย แต่เลือกที่จะเรียกร้องเอาเงินตามเช็คจากจำเลยซึ่งเป็นผู้สลักหลัง ซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะเลือกกระทำได้ จำเลยจึงเป็นผู้ทรงเช็คดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย และมีสิทธิที่จะนำไปเรียกเก็บเงินเอาจากผู้สั่งจ่ายได้ แต่จำเลยยังคงต้องรับผิดชดใช้เงินตามสัญญาแลกเช็คกับเงินสดที่ทำไว้ต่อโจทก์ เมื่อจำเลยนำเช็คไปเรียกเก็บเงินได้แล้ว จำเลยไม่มีหน้าที่ที่จะต้องนำเงินจำนวนที่รับมาดังกล่าวไปมอบให้แก่โจทก์ แม้ฟังว่าจำเลยนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้เสียเองไม่นำไปมอบให้แก่โจทก์ การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดฐานยักยอก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5356/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฉ้อโกงจากการใช้เช็คเดินทางปลอมหลายธนาคาร ถือเป็นกรรมต่างกัน
จำเลยที่ 1 กับพวกปลอมหนังสือเดินทางและเช็คเดินทางรวม 12 ฉบับ แล้วแยกนำไปใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารต่าง ๆ รวม 4 ธนาคารในคราวเดียวกันในแต่ละธนาคาร โดยมีเจตนาเพียงประการเดียวเพื่อฉ้อโกงเงินจากธนาคารแต่ละธนาคารด้วยการขอแลกเงินตามเช็คเดินทาง ปลอมนั้นให้ได้ ความผิดข้อหาปลอมหนังสือเดินทางและเช็คเดินทางกับใช้เอกสารปลอมดังกล่าวแต่ละครั้งในแต่ละธนาคาร จึงเป็นกรรมเดียวกันกับความผิดฐานฉ้อโกงอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษข้อหาใช้เช็คเดินทางปลอมซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด แต่จำเลยที่ 1ได้ใช้เช็คเดินทางปลอมดังกล่าวที่ธนาคารต่าง ๆ รวม 4 ธนาคารการกระทำความผิดในส่วนนี้จึงเป็นความผิดหลายกรรมรวม 4 กรรม.
of 26