คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 254 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3161/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องภารจำยอมและทางจำเป็น: ฟ้องไม่เคลือบคลุมเมื่อมีแผนที่ประกอบชัดเจน และอายุความภารจำยอม
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยเปิดทางเดินซึ่งผ่านที่ดินจำเลยเนื่องจากทางพิพาทเป็นทางจำเป็นและทางภารจำยอม โดยบรรยายถึงความเป็นมาและสภาพของที่ดินโจทก์จำเลยว่ามีอาณาเขตติดต่อกันและติดต่อกับที่ดินแปลงอื่นอย่างไร มีทางใช้เข้าออกที่ดินของโจทก์ที่ใดบ้าง และกล่าวถึงเหตุผลที่ทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมและทางจำเป็นอย่างไร กับแนบแผนที่สังเขปมาท้ายฟ้อง ซึ่งแผนที่ดังกล่าวได้ระบายสีพร้อมทั้งมีบันทึกและเครื่องหมายบอกรายละเอียดเกี่ยวกับแนวเขตที่ดินโจทก์จำเลยกับทางพิพาท และเครื่องหมายแสดงทิศไว้ด้วย ซึ่งเมื่อดูประกอบกันแล้ว สามารถเข้าใจได้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา โดยเฉพาะจำเลยซึ่งมีที่ดินอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ จะต้องเข้าใจได้เป็นอย่างดีฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์เดินผ่านทางพิพาทเกินกว่า 10 ปี ด้วยความสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาที่จะใช้เป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ตลอด มา โจทก์จึงได้สิทธิภารจำยอมในทางพิพาท โดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1382

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3111/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกเคหสถาน: สิทธิครอบครองที่ดินและขอบเขตพื้นที่บ้าน
โจทก์ร่วมอาศัยปลูกบ้านอยู่บนที่ดินของ ป. โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้อาศัยย่อมมีสิทธิครอบครองในบ้านของตน แต่หามีสิทธิครอบครองที่ดินของ ป. ด้วยไม่ ดังนั้น เมื่อฟังไม่ได้ว่าบริเวณที่จำเลยเข้ามายืนอยู่เป็นบริเวณบ้านของโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกเคหสถานของโจทก์ร่วม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3008/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดินและการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากคดีต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยบุกรุกและเรียกค่าเสียหายเป็นเงินเดือนละ 50 บาท ถือได้ว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท เมื่อจำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของสามีจำเลยซึ่ง มีที่ดินติดต่อกับที่ดินของโจทก์ มิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ. มาตรา 248
โจทก์ฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3008/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดิน: ฎีกาต้องห้ามเมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่าที่ดินไม่ใช่ของโจทก์
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยบุกรุกและเรียกค่าเสียหายเป็นเงินเดือนละ 50 บาท ถือได้ว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท เมื่อจำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของสามีจำเลยซึ่งมีที่ดินติดต่อกับที่ดินของโจทก์ มิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 โจทก์ฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3008/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเรื่องกรรมสิทธิ์แล้ว
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์โดย อ้างว่าจำเลยบุกรุกและเรียกค่าเสียหายเป็นเงินเดือนละ 50 บาท ถือได้ ว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ ไม่เกินเดือน ละ 5,000 บาท เมื่อจำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของสามีจำเลยซึ่ง มีที่ดินติดต่อ กับที่ดินของโจทก์ มิได้กล่าวแก้ เป็นข้อพิพาทด้วย กรรมสิทธิ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตาม ศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์โดย วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ. มาตรา 248 โจทก์ฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2989/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งไล่ออกจากราชการเป็นอำนาจฝ่ายบริหาร ศาลไม่มีอำนาจเพิกถอน
นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจยืนตามมติของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจซึ่งเห็นชอบด้วยกับคำสั่งของกรมตำรวจที่ให้ไล่โจทก์ทั้งสองออกจากราชการและคำสั่งของนายกรัฐมนตรีเป็นที่สุดแล้ว ดังนี้ คำสั่งดังกล่าวเป็นการลงโทษทางวินัยแก่โจทก์ทั้งสองตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 และ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2521 ซึ่งเป็นการใช้อำนาจของทางราชการฝ่ายบริหารโดยเฉพาะ ศาลไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่ไล่โจทก์ทั้งสองออกจากราชการได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2158/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องไม่ชัดเจนเรื่องขอบเขตที่ดิน ทำให้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นนอกฟ้อง
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านอยู่เป็นที่ดินที่อยู่นอกเขตที่ดินโฉนด ที่ 2802 ของโจทก์ ซึ่ง โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง แต่ โจทก์กลับฎีกาว่าที่ดินโฉนด ที่ 2802 ของโจทก์ติดต่อ เป็นผืนเดียว กับที่ดินเลขที่ 27 ซึ่ง โจทก์เป็นผู้ครอบครองฎีกาของโจทก์จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น มิใช่เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2147/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานเบิกความสอดคล้อง ผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ไม่ขัดแย้ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว
ผลการตรวจพิสูจน์ที่ว่าขนอวัยวะเพศซึ่งตรวจพบที่ช่องคลอดผู้เสียหายไม่ใช่ขนอวัยวะเพศของจำเลยนั้นเป็นเพียงความเห็นของผู้ทำการตรวจพิสูจน์หลักฐานเท่านั้น ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ถึงกับจะทำให้คำเบิกความพยานโจทก์รับฟังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2147/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำเบิกความพยานเชื่อถือได้ แม้ผลตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ตรงกัน คดีข่มขืนกระทำชำเรา
ผลการตรวจพิสูจน์ว่าขนอวัยวะเพศซึ่งตรวจพบที่ช่องคลอดผู้เสียหายไม่ใช่ขนอวัยวะเพศของจำเลยนั้น เป็นเพียงความเห็นของผู้ทำการตรวจพิสูจน์หลักฐานเท่านั้น ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ถึงกับจะทำให้คำเบิกความพยานโจทก์รับฟังไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2018/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลมีผลผูกพัน แม้มีสัญญาภายหลังที่ไม่ได้รับการรับรองจากศาล
แม้โจทก์ทำสัญญายอมความกับจำเลยไว้อีกฉบับหนึ่งในวันเดียวกันกับวันที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลว่าโจทก์ยอมให้จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อไปจนกว่าโจทก์จะรื้อถอนตึกพิพาทเพื่อทำการก่อสร้าง แต่สัญญายอมความดังกล่าวโจทก์จำเลยก็มิได้กระทำต่อหน้าศาล ศาลจึงไม่อาจรับรู้ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยได้ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ต่อหน้าศาล ศาลย่อมออกหมายบังคับคดีตามที่โจทก์ร้องขอเพื่อบังคับคดีเอากับจำเลยได้
of 26