คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุเทพ กิจสวัสดิ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 325 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4747/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับของโจร & ความผิดฐานใช้เอกสารปลอม: การกระทำผิดกรรมเดียว vs. หลายกรรม
การกระทำความผิดฐานรับของโจรโดยได้รับทรัพย์ไว้เพื่อช่วยจำหน่ายโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด เป็นความผิดสำเร็จทันทีตั้งแต่เวลาที่ผู้กระทำรับทรัพย์นั้นไว้ในความครอบครองหลังจากนั้นถึงแม้ว่าผู้กระทำจะได้แยกทรัพย์ที่รับไว้ออกใช้หรือจำหน่ายประการใดก็หาใช่การกระทำความผิดฐานรับของโจรทรัพย์ที่ได้รับไว้นั้นขึ้นอีกไม่ จำเลยรับตั๋วเงิน เช็คเดินทางในคดีนี้และคดีก่อนไว้ในคราวเดียวกันจึงเป็นการกระทำความผิดฐานรับของโจรเพียงครั้งเดียวเมื่อศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีก่อนเสร็จเด็ดขาดไปแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธินำการกระทำนั้นมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยซ้ำอีกเพราะสิทธิฟ้องคดีอาญาสำหรับการกระทำผิดดังกล่าวระงับลงแล้วตามป.วิ.อ. มาตรา 39(4) จำเลยใช้ตั๋วเงิน เช็คเดินทางปลอมจำนวน 13 ฉบับ เพื่อขอแลกเงินจากผู้เสียหาย และใช้หนังสือเดินทางปลอมเพื่อแสดงตนเป็นบุคคลอื่นซึ่งเป็นเจ้าของตั๋วเงินเช็คเดินทางดังกล่าวหลอกลวงผู้เสียหายในคราวเดียวกัน จำเลยมีความประสงค์โดยตรงที่จะหลอกลวงเอาเงินจากผู้เสียหายเป็นสำคัญยิ่งกว่าใช้หนังสือเดินทางและตั๋วเงินเช็คเดินทางเป็นรายฉบับ จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาอันเดียวเท่านั้น คือ เพื่อหลอกลวงเอาเงินตามตั๋วเงิน เช็คเดินทางทั้งหมดเป็นจำนวนเดียวกันเป็นการกระทำความผิดฐานใช้เอกสารปลอมกรรมเดียวกัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4747/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับของโจร-ใช้เอกสารปลอม: การกระทำความผิดกรรมเดียวเมื่อมีเจตนาหลอกลวงเพื่อเอาเงิน
จำเลยรับตั๋วเงินเช็คเดินทางไว้คราวเดียวกัน 19 ฉบับ โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ แม้ภายหลังจำเลยจะแยกใช้ตั๋วเงินเช็คเดินทางดังกล่าวเป็น 2 ครั้ง ก็เป็นความผิดฐานรับของโจรเพียงกรรมเดียว เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยฐานรับของโจรในคดีก่อนเสร็จเด็ดขาดแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรเป็นคดีนี้ซ้ำอีก เพราะสิทธิฟ้องคดีอาญาของโจทก์ระงับลงแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4)
การที่จำเลยใช้ตั๋วเงินเช็คเดินทางปลอม 13 ฉบับ รวมเป็นเงิน12,585 บาท และใช้หนังสือเดินทางปลอมในคราวเดียวกัน เพื่อขอแลกเงินจากผู้เสียหาย เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเพื่อหลอกลวงเอาเงินจำนวนดังกล่าวจากผู้เสียหายเพียงประการเดียว จึงเป็นความผิดกรรมเดียว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4747/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับของโจรและใช้เอกสารปลอม: การกระทำความผิดกรรมเดียวเมื่อมีเจตนาหลอกลวงเพื่อเอาเงิน
จำเลยรับตั๋วเงินเช็คเดินทางไว้คราวเดียวกัน 19 ฉบับ โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ แม้ภายหลังจำเลยจะแยกใช้ตั๋วเงินเช็คเดินทางดังกล่าวเป็น 2 ครั้ง ก็เป็นความผิดฐานรับของโจรเพียงกรรมเดียว เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยฐานรับของโจรในคดีก่อนเสร็จเด็ดขาดแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรเป็นคดีนี้ซ้ำอีก เพราะสิทธิฟ้องคดีอาญาของโจทก์ระงับลงแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) การที่จำเลยใช้ตั๋วเงินเช็คเดินทางปลอม 13 ฉบับ รวมเป็นเงิน12,585 บาท และใช้หนังสือเดินทางปลอมในคราวเดียวกัน เพื่อขอแลกเงินจากผู้เสียหาย เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเพื่อหลอกลวงเอาเงินจำนวนดังกล่าวจากผู้เสียหายเพียงประการเดียว จึงเป็นความผิดกรรมเดียว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4741/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวสงวนไว้สำหรับคู่ความในคดีเท่านั้น ผู้ร้องสอดที่ยังไม่เป็นคู่ความไม่มีสิทธิขอ
การขอให้ศาลมีคำสั่ง เพื่อคุ้มครองประโยชน์ตามวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 264 นั้น ผู้ที่จะขอได้ต้องเป็นคู่ความในคดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4741/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวสงวนเฉพาะคู่ความในคดีเท่านั้น ผู้ร้องสอดไม่มีสิทธิ
ผู้ที่จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ต้องเป็นคู่ความในคดีที่ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองนั้น ผู้ร้องสอดเพียงแต่ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความ ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ตามบทบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4741/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาคดี: ผู้ร้องต้องเป็นคู่ความในคดีเท่านั้น
ผู้ที่จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ต้องเป็นคู่ความในคดีที่ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองนั้น ผู้ร้องสอดเพียงแต่ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความ ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ตามบทบัญญัติดังกล่าว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4740/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและการร้องสอดคดี เจ้าหนี้บังคับคดีได้เองหากไม่ขัดทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนกรรมสิทธิ์แล้วใส่ชื่อโจทก์แทนผู้ร้องสอดอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ผู้ร้องสอดเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา และได้ขอให้ศาลยึดที่ดินพิพาทไว้แล้ว ผู้ร้องสอดจึงมีแต่เพียงสิทธิจะบังคับคดีเอาทรัพย์ส่วนของลูกหนี้ในคดีดังกล่าวชำระหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น หาได้มีสิทธิจะบังคับเอากับที่ดินพิพาทโดยตรงได้ เมื่อผู้ร้องสอดนำยึดที่ดินพิพาทไว้แล้วโดยโจทก์ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทมิได้ใช้สิทธิร้องขัดทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 288 ผู้ร้องสอดย่อมสามารถดำเนินการบังคับคดีของตนต่อไปได้โดยไม่มีความจำเป็นอย่างใด ที่จะมาร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57(1).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4740/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและการบังคับคดีกับที่ดินพิพาท: การร้องสอดไม่จำเป็นหากลูกหนี้มิได้ใช้สิทธิขัดทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ ให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนกรรมสิทธิ์แล้วใส่ชื่อโจทก์แทน ผู้ร้องสอดเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย และได้ขอให้ศาลยึดที่ดินตามฟ้องไว้แล้ว เมื่อโจทก์ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวมิได้ใช้สิทธิร้องขัดทรัพย์ในคดีดังกล่าว ผู้ร้องย่อมดำเนินการบังคับคดีของตนต่อไปได้ ไม่มีความจำเป็นที่จะร้องสอดเข้ามาในคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4740/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและการบังคับคดี การร้องสอดเพื่อคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึด
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนกรรมสิทธิ์แล้วใส่ชื่อโจทก์แทนผู้ร้องสอดเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย และได้ขอให้ศาลยึดที่ดินตามฟ้องไว้แล้ว เมื่อโจทก์ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวมิได้ใช้สิทธิร้องขัดทรัพย์ในคดีดังกล่าว ผู้ร้องย่อมดำเนินการบังคับคดีของตนต่อไปได้ ไม่มีความจำเป็นที่จะร้องสอดเข้ามาในคดีนี้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4731/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และการบอกกล่าวเปลี่ยนแปลงลักษณะการยึดถือ ผู้รับโอนย่อมได้สิทธิ แม้การโอนเดิมไม่ชอบ
โจทก์ครอบครองทำกินในที่พิพาทตลอดมา โจทก์เคยบอกจำเลยว่าได้ซื้อที่พิพาทมาจากผู้อื่นจึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง กรณีถือได้ว่าโจทก์ได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังจำเลยว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทโดยสุจริตโดยครอบครองเพื่อตนแล้ว เมื่อเป็นเวลาเกินกว่า1 ปี และจำเลยไม่ได้ฟ้องเอาคืนภายในเวลาดังกล่าว ที่พิพาทจึงตกเป็นของโจทก์.
of 33