คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุเทพ กิจสวัสดิ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 325 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2284/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีมรดกและการครอบครองทรัพย์มรดกของทายาท
ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ อ. ตกทอดแก่ทายาทคือโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสอง เมื่อ อ. ถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยที่ 2 ได้ ครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาโดยโจทก์ทั้งสามไม่ได้ครอบครองร่วมด้วย อ. เจ้ามรดกถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2521 โจทก์ทั้งสามทราบแล้ว แต่เพิ่มมาฟ้องคดีมรดกเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2527 พ้น 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย คดีโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องคดีมรดกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1748, 1754เมื่อคดีของโจทก์ขาดอายุความฟ้องคดีมรดกเสียแล้ว ปัญหาที่โจทก์ทั้งสามอ้างว่าเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2526 จำเลยทั้งสองไปแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานให้ใส่ชื่อ จำเลยทั้งสองในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทเพียงสองคน เป็นการปิดบังทรัพย์มรดก ต้องถูกกำจัดไม่ให้รับมรดกนั้น จึงไม่จำต้องวินิจฉัยให้ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2284/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีมรดกและการครอบครองทรัพย์มรดกโดยทายาทอื่น
ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ อ. ตกทอดแก่ทายาทคือโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสอง เมื่อ อ. ถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยที่ 2ได้ ครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาโดยโจทก์ทั้งสามไม่ได้ครอบครองร่วมด้วย อ. เจ้ามรดกถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2521 โจทก์ทั้งสามทราบแล้ว แต่เพิ่มมาฟ้องคดีมรดกเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2527 พ้น1 ปี นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย คดีโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องคดีมรดกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1748,1754เมื่อคดีของโจทก์ขาดอายุความฟ้องคดีมรดกเสียแล้ว ปัญหาที่โจทก์ทั้งสามอ้างว่าเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2526 จำเลยทั้งสองไปแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานให้ใส่ชื่อ จำเลยทั้งสองในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทเพียงสองคน เป็นการปิดบังทรัพย์มรดกต้อง ถูกกำจัดไม่ให้รับมรดกนั้น จึงไม่จำต้องวินิจฉัยให้ต่อไป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2208/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาผ่อนชำระ แม้ยังไม่ถึงกำหนดหนี้รายงวด โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกหนี้ทั้งหมดได้
แม้จำเลยตกลง กำหนดเวลาชำระหนี้เป็น 2 งวด แต่ ก็มิได้แยกหนี้ออกเป็นรายต่างหากจากกัน เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลาตกลง ไว้ แม้แต่ เพียงงวดแรก จำเลยก็ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ตาม บันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้ทั้งหมด ดังนี้ โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกหนี้ตาม งวดที่สองได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2177/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบเรือยนต์และอวนรุนที่ใช้ทำการประมงในเขตห้าม ตาม พ.ร.บ.การประมง พ.ศ. 2490
พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 4(3) บัญญัติให้เรือที่ใช้ ทำการประมงเป็นเครื่องมือทำการประมง และได้มีประกาศกระทรวงเกษตร กำหนดเขตห้ามใช้เครื่องมืออวนลากและอวนรุนที่ใช้กับเรือยนต์ทำการประมงในเขตที่ระบุไว้ เมื่อจำเลยใช้เรือยนต์ของกลางทำการประมงในเขตดังกล่าวโดยใช้กับอวนรุน เรือยนต์ดังกล่าวจึงเป็นเครื่องมือทำการประมงที่ห้ามใช้ทำการประมงตาม พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 32 (2) ซึ่งต้องริบตามมาตรา 70

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2177/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบเรือยนต์ที่ใช้ทำประมงผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.การประมง เนื่องจากเข้าข่ายเครื่องมือทำการประมงที่ถูกห้าม
พ.ร.บ. การประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 4(3) บัญญัติให้เรือที่ใช้ทำการประมงเป็นเครื่องมือทำการประมง และได้มีประกาศกระทรวงเกษตร กำหนดเขตห้ามใช้เครื่องมืออวนลากและอวนรุน ที่ใช้กับเรือยนต์ทำการประมงในเขตที่ระบุไว้ เมื่อจำเลยใช้เรือยนต์ของกลางทำการประมงในเขตดังกล่าวโดยใช้กับอวนรุน เรือยนต์ดังกล่าวจึงเป็นเครื่องมือทำการประมงที่ห้ามใช้ทำการประมงตาม พ.ร.บ.การประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 32(2) ซึ่งต้องริบตามมาตรา 70.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2177/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบเรือยนต์และอวนรุนที่ใช้ทำการประมงในเขตห้าม ตาม พ.ร.บ.การประมง
พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 4(3) บัญญัติให้เรือที่ใช้ ทำการประมงเป็นเครื่องมือทำการประมง และได้มีประกาศกระทรวงเกษตร กำหนดเขตห้ามใช้เครื่องมืออวนลากและอวนรุนที่ใช้กับเรือยนต์ทำการประมงในเขตที่ระบุไว้ เมื่อจำเลยใช้เรือยนต์ของกลางทำการประมงในเขตดังกล่าวโดยใช้กับอวนรุน เรือยนต์ดังกล่าวจึงเป็นเครื่องมือทำการประมงที่ห้ามใช้ทำการประมงตาม พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 32(2) ซึ่งต้อง ริบตาม มาตรา 70.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2164/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละเจตนาครอบครองปรปักษ์และการยอมรับสิทธิเจ้าของเดิม ทำให้ไม่สามารถอ้างสิทธิครอบครองปรปักษ์ได้อีก
ระหว่างที่ผู้ร้องครอบครองปรปักษ์ที่พิพาท ผู้คัดค้านได้ ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ในที่สุดผู้ร้องยอมให้ผู้คัดค้านเข้าทำนาในที่พิพาทต่อไป ซึ่ง แสดงว่าผู้ร้องตัดสินใจไม่เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท พฤติการณ์ของผู้ร้องแสดงว่าได้ สละเจตนาครอบครองโดย ปรปักษ์และยอมรับสิทธิของผู้คัดค้านซึ่ง มีชื่อ ในโฉนดที่ดินพิพาทแล้ว ผู้ร้องจะมาอ้างสิทธิครอบครองโดย ปรปักษ์อีกหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2135/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขจำนวนหนี้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ใช่ข้อผิดพลาดเล็กน้อยที่แก้ไขได้ตามมาตรา 143 วรรคแรก
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยเกี่ยวกับจำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งสองค้างชำระถึงวันฟ้องว่ามีมากกว่าจำนวนหนี้ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย โดยขอให้แก้ไขจำนวนเงินเพิ่มจากเดิมถึงสองหมื่นบาทเศษ ดังนี้ ข้อที่โจทก์ขอแก้ไขมิใช่ข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อยตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจแก้ไข

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2135/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจแก้ไขคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์จำกัดเฉพาะข้อผิดพลาดเล็กน้อย
คำร้องของโจทก์ที่โต้เถียงว่า จำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งสองค้างชำระถึงวันฟ้องมีมากกว่าจำนวนหนี้ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและขอให้ศาลอุทธรณ์แก้ไขจำนวนเงินเพิ่มจากเดิมถึงสองหมื่นบาทเศษมิใช่ข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อย ตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาคดีไม่มีอำนาจที่จะแก้ไขได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2135/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขจำนวนหนี้ตามคำพิพากษา: ข้อผิดพลาดเล็กน้อยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 143
คำร้องของโจทก์ที่โต้เถียงจำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งสองจะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งสองค้างชำระถึงวันฟ้องมีมากกว่าจำนวนหนี้ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย โดยขอให้แก้ไขจำนวนเงินจาก 1,542,827.30 บาท เป็น 1,563,767.08 บาท เพิ่มจากเดิมถึงสองหมื่นบาทเศษนั้น มิใช่ข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อยตามความหมายของ ป.วิ.พ. มาตรา 143 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์จึงไม่อาจที่จะแก้ไขให้ตามคำร้องดังกล่าวได้.
of 33