พบผลลัพธ์ทั้งหมด 657 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 942/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการอนุญาตให้ถอนฟ้องคดีแพ่ง แม้จำเลยคัดค้าน และการพิจารณาความสุจริตในการดำเนินคดี
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 วรรคสอง (1)ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีแพ่งหรือไม่นั้นอยู่ในดุลพินิจของศาล แม้จำเลยคัดค้านก็อนุญาตให้ถอนฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 862/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์-ฎีกาข้อหาเบา (ปรับไม่เกิน 100 บาท) ต้องห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ในความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญาซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ปรับไม่เกิน 100 บาทคดีโจทก์ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษา หรืออัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองในอุทธรณ์ว่ามีเหตุอันควรที่ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยจึงเป็นการมิชอบศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในข้อหาความผิดนั้น และข้อเท็จจริงในข้อหาดังกล่าวย่อมยุติ อัยการสูงสุดจะรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 หาได้ไม่ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 846/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีฝ่าฝืนระเบียบบริษัทและการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้า
ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยระบุห้ามใช้เวลาหรือทรัพย์สินของบริษัทฯ ไปทำงานส่วนตัวโดยมิได้รับอนุญาต การที่โจทก์ขายสินค้าบริษัทอื่นให้แก่ลูกจ้างจำเลยสองคน คนหนึ่งซื้อยาสระผมและครีมนวดผมอีกคนหนึ่งซื้อลิปสติกการซื้อขายสิ่งของจำนวนเล็กน้อยโดยปกติใช้เวลาเพียงครู่เดียวทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใดการกระทำของโจทก์จึงมิใช่การฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีที่ร้ายแรง จำเลยไม่เคยตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือมาก่อนจำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ การที่โจทก์ขายสินค้าบริษัทอื่นแก่ลูกจ้างจำเลยย่อมเป็นเหตุให้ทั้งโจทก์และลูกจ้างต้องหยุดการทำงานเพื่อเจรจาและส่งมอบสินค้าที่โจทก์นำมาขาย ถือได้ว่าเป็นการกระทำการอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่การงานของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 845/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและการหลีกเลี่ยงกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์และจำเลยมิได้มีการว่าจ้างทดลองงานกันใหม่ และฟังไม่ได้ว่าโจทก์ไม่มีความสามารถในการทำงาน จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ต้องจ่ายค่าเสียหายและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ แล้วจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ในระหว่างทดลองงานเนื่องจากโจทก์หย่อนสมรรถภาพในการทำงาน เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม และไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นการอุทธรณ์ในเรื่องที่ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ศาลได้รับฟังมาจึงเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม มาตรา 54แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 843/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: การเตือนเรื่องลาป่วยไม่ถือเป็นการเตือนเรื่องขาดงาน ทำให้ต้องจ่ายค่าชดเชย
การฝ่าฝืนข้อ 47(3) แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานนั้นหมายถึง ในกรณีที่นายจ้างได้เตือนลูกจ้างแล้วลูกจ้างยังฝ่าฝืนกระทำผิดซ้ำคำเตือน นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย การที่จำเลยออกหนังสือเตือนโจทก์เรื่องการลาป่วยผิดระเบียบ มิใช่เตือนเรื่องขาดงานต่อมาโจทก์ขาดงานจึงถือไม่ได้ว่ากระทำผิดซ้ำคำเตือน จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 805/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดินและส่วนควบหลังจดทะเบียนสมรส: ที่ดินเดิมเป็นสินส่วนตัว การต่อเติมเป็นส่วนควบ
บ้านพิพาทหลังเดิมเป็นของบิดาและมารดาผู้ร้อง ต่อมาได้ยกให้แก่ผู้ร้องพร้อมทั้งที่ดินก่อนที่ผู้ร้องจดทะเบียนสมรสกับจำเลย ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง หลังจากนั้นมีการต่อเติมบ้านในลักษณะถาวรติดที่ดิน จึงต้องถือว่าบ้านพิพาทที่ต่อเติมนี้เป็นส่วนควบของที่ดินที่ปลูกบ้านและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตาม ป.พ.พ.มาตรา 107 เดิม โจทก์จึงยึดบ้านพิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 805/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินหลังหย่า: บ้านต่อเติมถือเป็นส่วนควบของที่ดินตกเป็นสินส่วนตัว
บ้านพิพาทหลังเดิมเป็นของบิดาและมารดาผู้ร้อง ต่อมาได้ยกให้แก่ผู้ร้องพร้อมทั้งที่ดินก่อนที่ผู้ร้องจดทะเบียนสมรสกับจำเลย ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง หลังจากนั้นมีการต่อเติมบ้านในลักษณะถาวรติดที่ดิน จึงต้องถือว่าบ้านพิพาทที่ต่อเติมนี้เป็นส่วนควบของที่ดินที่ปลูกบ้านและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 เดิม โจทก์จึงยึดบ้านพิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 788/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม นายจ้างต้องรับผิดชอบจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า แม้สินค้าสูญหายแต่พิสูจน์ความประมาทเลินเล่อไม่ได้
โจทก์เกี่ยวข้องรับผิดชอบกับการเบิกจ่ายพัสดุโดยตรงเป็นผู้จ่ายตรวจ นับ คุมสินค้าอยู่ทุกวัน จำเลยผู้เป็น นายจ้างพิสูจน์ไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เอาสินค้าไป และ ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้กระทำการใดในหน้าที่การงานโดยปราศจากความระมัดระวัง หรือละเลยการอันจักต้องกระทำ ตามหน้าที่ หรืองดเว้นการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยซึ่งเป็นนายจ้าง แม้โจทก์จะมี หน้าที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบกับการเบิกจ่ายพัสดุโดยตรงและ สินค้าได้หายไป ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย จำเลยก็ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่โจทก์ เมื่อไม่ปรากฏว่า โจทก์กระทำการใดอันถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ เพียงปรากฏข้อเท็จจริงว่าสินค้าที่อยู่ในสถานที่ที่โจทก์ทำงานอยู่หายไป ยังไม่พอให้ถือได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยป่วยทางจิต แต่ยังสามารถต่อสู้คดีได้ ศาลลงโทษฐานทำร้ายร่างกายแทนชิงทรัพย์
แม้จำเลยจะมีอาการป่วยทางประสาทอย่างรุนแรง และได้เคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมาแล้วเป็นเวลาหลายเดือน และหลังจากออกจากโรงพยาบาลจำเลยยังต้องรักษาตัวอยู่ที่บ้านด้วยการสั่งซื้อยาจากโรงพยาบาลมารับประทานก็ตาม แต่เมื่อศาลได้ซักถามเรื่องราวต่าง ๆจากจำเลยแล้ว ปรากฏว่าจำเลยสามารถพูดจาโต้ตอบได้ดี อีกทั้งในชั้นสืบพยานจำเลย ตัวจำเลยยังได้เข้าเบิกความเป็นพยานโดยมิได้ปรากฏเหตุผิดปกติซึ่งส่อแสดงอาการวิกลจริตที่ไม่สามารถต่อสู้คดีได้แต่ประการใด จำเลยคงต่อสู้คดีจนจบกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นแสดงว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้ ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ยอมส่งตัวจำเลยไปยังโรงพยาบาลนิติจิตเวชก่อน จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว ความผิดที่โจทก์ ฟ้องจำเลยคือความผิดฐานชิงทรัพย์ รวมความผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสามารถในการต่อสู้คดีของผู้ป่วยทางจิตเวช และการลงโทษฐานทำร้ายร่างกาย
แม้จำเลยจะมีอาการป่วยทางประสาทอย่างรุนแรง และได้เคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมาแล้วเป็นเวลาหลายเดือน และหลังจากออกจากโรงพยาบาลจำเลยยังต้องรักษาตัวอยู่ที่บ้านด้วยการสั่งซื้อยาจากโรงพยาบาลมารับประทานก็ตาม แต่เมื่อศาลได้ซักถามเรื่องราวต่าง ๆ จากจำเลยแล้ว ปรากฏว่าจำเลยสามารถพูดจาโต้ตอบได้ดี อีกทั้งในชั้นสืบพยานจำเลย ตัวจำเลยยังได้เข้าเบิกความเป็นพยานโดยมิได้ปรากฏเหตุผิดปกติซึ่งส่อแสดงอาการวิกลจริตที่ไม่สามารถต่อสู้คดีได้แต่ประการใด จำเลยคงต่อสู้คดีจนจบกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นแสดงว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้ ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ยอมส่งตัวจำเลยไปยังโรงพยาบาลนิติจิตเวชก่อน จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว
ความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยคือความผิดฐานชิงทรัพย์ รวมความผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคท้าย
ความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยคือความผิดฐานชิงทรัพย์ รวมความผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคท้าย