คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชลิต ประไพศาล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 657 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1731/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา และประเด็นเขตอำนาจศาลในชั้นดังกล่าว
แม้การขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2) บัญญัติให้ทำเป็นคำขอฝ่ายเดียว แต่ศาลก็มีอำนาจที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ ก่อนออกคำสั่งได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 21(3) เรื่องเขตอำนาจศาลไม่ใช่ประเด็นที่ศาลจะต้องชี้ขาดในชั้นขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ตราบใดที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้พิพากษาหรือจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คู่ความย่อมมีสิทธิขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1731/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองชั่วคราวและการยอมรับข้อเท็จจริงโดยปริยายจากคำคัดค้านของจำเลย
ในชั้นที่โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวขอให้ศาลห้ามจำเลยทั้งสองดำเนินกิจการโรงแรม บ. จำเลยทั้งสองคัดค้านเพียงว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินที่ตั้งกิจการโรงแรม จำเลยเข้าไปดำเนินกิจการโรงแรมดังกล่าวก็เพื่อรักษาราคาที่ดินของจำเลยทั้งสองมิให้ตกต่ำลงเท่านั้น คำคัดค้านของจำเลยทั้งสองเท่ากับยอมรับในตัวว่ากิจการโรงแรม บ. เป็นของโจทก์ แม้การขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2) บัญญัติให้ทำเป็นคำขอฝ่ายเดียว แต่ศาลก็มีอำนาจที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ ก่อนออกคำสั่งได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 21(3) และปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำเลยทั้งสองแถลงไม่ติดใจสืบพยานชั้นไต่สวน แสดงว่าศาลให้โอกาสนำพยานเข้าสืบแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ประสงค์จะนำพยานเข้าสืบเอง หาใช่จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบดังจำเลยทั้งสองฎีกาไม่ ในชั้นที่โจทก์และจำเลยทั้งสองพิพาทกันเกี่ยวกับการขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ศาลชั้นต้นจะมีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดีเพราะมิใช่ศาลที่ทรัพย์นั้นตั้งอยู่หรือไม่ ย่อมไม่ใช่ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นนี้เพราะตราบใดที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้พิพากษาหรือจำหน่ายคดีออกจากสารบบความคู่ความย่อมมีสิทธิขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาได้เสมอ ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1731/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการพิจารณาคำขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา และเขตอำนาจศาลในชั้นคุ้มครองชั่วคราว
แม้การขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 254 (2) บัญญัติให้ทำเป็นคำขอฝ่ายเดียว แต่ศาลก็มีอำนาจที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยหรือคู่ความอื่น ๆ ก่อนออกคำสั่งได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 21 (3)
เรื่องเขตอำนาจศาลไม่ใช่ประเด็นที่ศาลจะต้องชี้ขาดในชั้นขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ตราบใดที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้พิพากษาหรือจำหน่าย-คดีออกจากสารบบความ คู่ความย่อมมีสิทธิขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1504/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิดฐานซื้อ-รับตัวผู้เยาว์ถูกพราก และเป็นธุระจัดหาเพื่อการค้าประเวณี ถือเป็นความผิดหลายกรรม
การที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคสอง บัญญัติว่าผู้ใดโดยทุจริตซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก ฯลฯ นั้น หมายความว่า การกระทำผิดจะต้องกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังที่บัญญัติไว้ ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซื้อหรือรับตัวนางสาวก. มีผลเป็นทำนองเดียวกันว่าจำเลยได้ตัวนางสาวก.ผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรกมาอยู่กับจำเลย ส่วนเหตุแห่งการได้ตัวมานั้นไม่ว่าจะได้มาโดยเสียค่าตอบแทนหรือไม่ก็เป็นความผิดเช่นเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม แม้จำเลยมีเจตนาอย่างเดียวคือเป็นธุระจัดหาหญิงไว้เพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น แต่การที่จำเลยจะได้นางสาวก.ไว้เพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นนั้น จำเลยรับซื้อเอานางสาวก.ผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากจากมารดามาไว้กับจำเลยอันเป็นการกระทำความผิดอีกอันหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคสอง ด้วย ซึ่งเป็นความผิดต่างฐานกัน ต้องถือว่าเป็นเจตนาอีกอันหนึ่งต่างหาก การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1504/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิดฐานซื้อตัวผู้เยาว์และเป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจาร แม้มีเจตนาเดียวแต่เป็นกรรมต่างกัน
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคสอง คำว่าซื้อหรือรับตัวมีผลเป็นทำนองเดียวกันว่าจำเลยได้ตัวนางสาว ก. ผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรกมาอยู่กับจำเลย ส่วนเหตุแห่งการได้ตัวมานั้นไม่ว่าจะได้มาโดยเสียค่าตอบแทนหรือไม่ก็เป็นความผิดเช่นเดียวกัน ฉะนั้นที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยซื้อหรือรับตัวนางสาว ก. ผู้เยาว์ไว้ โดยไม่ได้ระบุว่ากระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม แม้ความมุ่งหมายในการกระทำของจำเลยจะมีอย่างเดียวคือเป็นธุระจัดหาหญิงไว้เพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 แต่การที่จำเลยจะได้นางสาว ก.ผู้เยาว์ไว้เพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นนั้นจำเลยรับซื้อเอานางสาว ก. ผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากจากมารดามาไว้กับจำเลยอันเป็นการกระทำความผิดอีกอันหนึ่ง ตามมาตรา 319 วรรคสอง ด้วยเพื่อบรรลุผลตามความมุ่งหมาย ซึ่งเป็นความผิดต่างฐานกันต้องถือว่าเป็นเจตนาอีกอันหนึ่งต่างหาก ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นหลายกรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1110/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้ยกเหตุผลใหม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ฎีกาของจำเลยคงอ้างเหตุอย่างเดียวกับที่อุทธรณ์โดยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ที่พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการไม่ชอบ หรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร แต่ประการใดเลย จึงเป็นฎีกาที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1110/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุอ้างเหตุเดิมจากอุทธรณ์ ขาดการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ฎีกาของจำเลยคงอ้างเหตุอย่างเดียวกับที่อุทธรณ์โดยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ที่พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการไม่ชอบ หรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร แต่ประการใดเลย จึงเป็นฎีกาที่ขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 249วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1095/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การโต้แย้งดุลพินิจลงโทษหลังศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาเล็กน้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษจำคุก 3 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยกระทำผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษ 2 กระทง โดยลงโทษกระทงละ1 ปี รวม 2 ปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยเบาลงหรือขอให้รอการลงโทษนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1057/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเวนคืน: การกระทำครบถ้วนตามประกาศคปช. และการกำหนดเจ้าหน้าที่เวนคืนตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอ้างเหตุสิทธิในการฟ้องว่าเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2524 ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอก พ.ศ. 2524 ใช้บังคับโดยบัญญัติให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการของกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ และวันที่ 30 มีนาคม 2525 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศกำหนดให้ทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษก ตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอกเป็นทางหลวงที่มีความจำเป็นต้องสร้างโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์มีอำนาจเข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ที่ดินของโจทก์ทุกแปลงตั้งอยู่ที่แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา (พระโขนง) กรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ตามพระราชกฤษฎีกานี้ตามมาตรา 3 ซึ่งมีพื้นที่เขตยานนาวาตรงตามโฉนดที่ดินของโจทก์ดังกล่าวในฟ้องและเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสอง ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ไปร่วมประชุมกับคณะกรรมการปรองดองฯเพื่อพิจารณาไกล่เกลี่ยค่าทดแทน แต่ตกลงกันไม่ได้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้ทำการสำรวจที่ดินซึ่งถูกเวนคืน มีที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนด้วย แต่ตกลงค่าทดแทนกันไม่ได้ จำเลยที่ 1 ได้นำเงินค่าทดแทนไปวางณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี เพื่อชดใช้ให้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 2 ได้เข้าครอบครองที่ดินของโจทก์แล้วจึงเห็นได้ชัดว่าจำเลยทั้งสองได้ทำการหรือได้ปฏิบัติครบถ้วน แห่งเงื่อนไขตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 67แล้วที่ดินของโจทก์ถูกสร้างเป็นทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกช่วงถนนนางลิ้นจี่ถึงถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วมิใช่ถูกสร้างเป็นทางด่วนพิเศษสายดาวคะนอง-ท่าเรือที่ดินของโจทก์จึงมิได้ถูกเวนคืนโดยพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางพิเศษสายดาวคะนอง-ท่าเรือแม้จำเลยที่ 1 มิได้เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม แต่คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบการดำเนินการก่อสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกให้แก่จำเลยที่ 1 และต่อมาอนุมัติให้ทางการพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการสำรวจออกแบบและก่อสร้างถนนรัชดาภิเษกช่วงถนนนางลิ้นจี่ถึงถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ตั้งงบประมาณ ความรับผิดชอบในการดำเนินการก่อสร้างถนนเทศบาลสายรัชดาภิเษกช่วงถนนนางลิ้นจี่ถึงถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยายังคงเป็นของจำเลยที่ 1 และตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 64 ได้กำหนดเงื่อนไข ในการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืนต้องระบุ (1) ความประสงค์ของการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์(2) เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (3) ท้องที่ที่จะเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอก พ.ศ. 2524 ข้อ 4 ให้จำเลยที่ 2เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกานี้ก็คือเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ข้อ 64(2) นั่นเอง และมีหน้าที่จ่ายค่าทดแทนตามข้อ 67 และข้อ 74 ถึงข้อ 77 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาท เมื่อโจทก์เห็นว่าเงินค่าทดแทนที่ดินที่จำเลยทั้งสองกำหนดยังไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 988/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญากันโดยปริยาย การคืนทรัพย์และค่าเสียหายจากการใช้ทรัพย์
โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 4 ว่า โจทก์ได้รับความเสียหายจากการที่ขาดผลประโยชน์ในการใช้รถยนต์ โดยไม่ได้บรรยายฟ้องว่าได้รับความเสียหายจากการที่รถยนต์เสื่อมราคา แม้โจทก์อาจนำสืบรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายดังกล่าวได้ในชั้นพิจารณา แต่ศาลก็ไม่อาจพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้อง เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระราคารถยนต์ โจทก์จึงใช้สิทธิตามข้อสัญญาเข้ายึดรถยนต์โดยที่ยังไม่มีการบอกเลิกสัญญา และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน ถือว่า คู่สัญญาได้ตกลงเลิกสัญญากันโดยปริยายแล้ว กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคแรก คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมเมื่อโจทก์ได้ยึดรถยนต์ไปแล้วโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องคืนราคารถยนต์ที่ได้รับชำระแก่จำเลยที่ 1 และการที่จำเลยที่ 1 ครอบครองรถยนต์ไว้ใช้ประโยชน์ นับแต่วันทำสัญญาจนถึงวันที่โจทก์ยึดรถยนต์คืนไปถือว่าเป็นการที่โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้ทรัพย์นั้น ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม จำเลยที่ 1ต้องชดใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้นแก่โจทก์โดยถือว่าเป็นค่าขาดผลประโยชน์ในการใช้รถ
of 66