คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชลิต ประไพศาล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 657 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1513/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามในคดีแรงงาน: การโต้เถียงดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยึด
ข้ออุทธรณ์ของผู้ร้องที่ว่าศาลแรงงานกลางรับฟังพยานหลักฐานไม่ถูกต้องตามหลักการพิจารณาคดีแพ่งเพราะตามพยานหลักฐานของผู้ร้องเห็นได้ชัดว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ถูกยึดก็ดี ที่ว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์ไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การและศาลไม่ได้กำหนดประเด็นไว้ก็ดี เป็นการหยิบยกพยานหลักฐานเพื่อให้ศาลฎีกาฟังว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นของผู้ร้อง เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1134/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง และการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยาน
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์กระทำการฝ่าฝืนระเบียบหรือคำสั่งของจำเลยในกรณีร้ายแรง จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเท่ากับศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยแล้วว่า คำสั่งของจำเลยซึ่งลงนามโดยหัวหน้ากองอำนาจการผู้รับมอบอำนาจเป็นคำสั่งที่ถูกต้อง อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าคำสั่งของจำเลยเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องจึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1108/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างที่เมาสุราเข้าทำงานในโรงงาน ถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบร้ายแรง เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกำหนดว่า ห้ามพนักงานดื่มหรือเสพสุราในขณะปฏิบัติงานหรือในบริเวณโรงงานหรือบริษัทโดยมิได้รับอนุญาตจากฝ่ายบริหารเป็นอันขาดผู้ใดฝ่าฝืนถือเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ระเบียบข้อบังคับดังกล่าวมีความมุ่งหมายที่จะห้ามมิให้พนักงานมึนเมาสุราในขณะปฏิบัติงาน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่กิจการของจำเลยและผู้ปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานของจำเลย การที่โจทก์ออกไปดื่มสุราข้างนอกบริษัทแล้วเมาสุรากลับเข้าไปทำงานในโรงงานหรือบริษัท ย่อมถือได้ว่าโจทก์เมาสุราในขณะปฏิบัติงานนั่นเองอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับดังกล่าวและเมื่อลักษณะงานของโจทก์เป็นงานขับรถเครน ยกของหนักซึ่งโจทก์ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง ทั้งเคยมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับเครนทำให้พนักงานของจำเลยได้รับบาดเจ็บสาหัสการกระทำของโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับในกรณีร้ายแรง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องตักเตือนเป็นหนังสือก่อน ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1108/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างที่เมาสุราขณะปฏิบัติงาน ถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบร้ายแรง นายจ้างเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ระเบียบข้อบังคับของนายจ้างที่กำหนดว่า "ห้ามพนักงานดื่ม หรือเสพสุราเครื่องดอง ของเมา หรือยาเสพติดใด ๆ ในขณะปฏิบัติงานหรือในบริเวณโรงงานหรือบริษัท... โดยมิได้รับอนุญาตจากฝ่ายบริหารเป็นอันขาด ผู้ใดฝ่าฝืนถือเป็นความผิด" นั้น มีความมุ่งหมายที่จะห้ามมิให้พนักงานมึนเมาสุราในขณะปฏิบัติงานเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่กิจการของนายจ้างและผู้ปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานของนายจ้าง ดังนั้น การที่ลูกจ้างออกไปดื่ม สุราหรือเครื่องดอง ของเมาข้างนอกบริษัทและเมาสุรากลับเข้าไปทำงานในโรงงานหรือบริษัทย่อมถือได้ว่าลูกจ้างเมาสุราในขณะปฏิบัติงาน เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับดังกล่าว งานขับรถเครน ยกของหนักที่ลูกจ้างทำต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงและเคยมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับเครน ทำให้พนักงานได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อปรากฏว่าลูกจ้างเมาสุราเข้ามาปฏิบัติงานซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง การกระทำของลูกจ้างดังกล่าวถือว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับในกรณีร้ายแรง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3) นายจ้างย่อมเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่จำต้องตักเตือนเป็นหนังสือก่อน ทั้งมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตาม ป.พ.พ. มาตรา 583 เมื่อการกระทำของลูกจ้างเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเป็นกรณีร้ายแรง การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างย่อมมีเหตุอันสมควร ไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 926/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการโดยผู้มีอำนาจชอบด้วยกฎหมาย ไม่ถือเป็นการละเมิด
จำเลยเป็นรองปลัดกระทรวงได้รับมอบอำนาจจากปลัดกระทรวงเป็นผู้บังคับบัญชาในกองแบบแผนที่โจทก์สังกัดอยู่เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาสั่งลงโทษข้าราชการที่กระทำผิดวินัยได้ดังนั้นการที่จำเลยสั่งลงโทษโจทก์ย่อมเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายโดยชอบไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 720/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอุทธรณ์-ฎีกาในคดีผิดสัญญาประกันตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่แก้ไขใหม่
ผู้ประกันยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2533 ภายหลังจากพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532ใช้บังคับแล้ว สิทธิในการฎีกาของผู้ประกันต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้ในขณะยื่นฎีกา ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติดังกล่าวอันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่ผู้ประกันยื่นฎีกา บัญญัติให้ผู้ประกันมีอำนาจอุทธรณ์ได้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด กรณีของผู้ประกันเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยแล้วย่อมเป็นที่สุดศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 633/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ประเด็นครอบครองที่ดินที่เคยมีคำพิพากษาแล้ว
คดีก่อนจำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 10/98 และ68/98 อ้างว่าโจทก์ได้เช่าที่ดินดังกล่าวของจำเลยกับผู้อื่นตามสัญญาเช่าเอกสารท้ายฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ได้เช่าที่ดินดังกล่าวตามสัญญาเช่าเอกสารท้ายฟ้อง พิพากษาให้ขับไล่โจทก์ หมายความว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้วว่า โจทก์อยู่ในที่ดินตามฟ้องโดยอาศัยสัญญาเช่า และไม่มีสิทธิครอบครอง การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้ขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 10/98 และ68/98 และสัญญาเช่าท้ายฟ้องคดีก่อนเป็นโมฆะ เท่ากับโจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาในประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วในคดีก่อนซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ การฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง มิใช่มีคำสั่งไม่รับฟ้อง จึงไม่อาจสั่งคืนค่าธรรมเนียมทั้งหมดให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 633/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำในประเด็นที่ศาลเคยวินิจฉัยแล้ว แม้คดีเดิมยังไม่สิ้นสุด ถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
คดีเดิม จำเลยฟ้องโจทก์ขอให้ขับไล่โจทก์ให้ออกจากที่ดินตามฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วว่าโจทก์อยู่ในที่ดินตามฟ้องโดยอาศัยสัญญาเช่าและไม่มีสิทธิครอบครอง การที่โจทก์มาฟ้องคดีหลังอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน และสัญญาเช่าเป็นโมฆะเท่ากับโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาในประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วและคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 559/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินบำเหน็จกับการจ่ายค่าชดเชย: ข้อบังคับธนาคารฯ ไม่ตัดสิทธิค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน
ข้อบังคับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ฉบับที่ 29ว่าด้วยเงินบำเหน็จ กำหนดเงื่อนไขในการจ่ายเงินบำเหน็จมีสาระสำคัญว่า พนักงานที่ทำงานมาแล้วตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป จึงจะมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ แม้พนักงานได้ลาออกหรือถึงแก่ความตายก็มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ ซึ่งแตกต่างจากเงื่อนไขในการจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16เมษายน 2515 ข้อ 46 ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งกำหนดว่าลูกจ้างที่มีอายุงาน120 วัน ก็มีสิทธิได้รับค่าชดเชยแล้ว ถ้า ถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้กระทำความผิดตามข้อ 47 แต่ถ้า ลูกจ้างลาออกหรือตาย ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย เงินบำเหน็จที่จำเลยจ่ายให้โจทก์เมื่อเลิกจ้างจึงไม่ใช่ค่าชดเชย แม้ข้อบังคับดังกล่าวจะกำหนดให้ถือว่าการจ่ายเงินบำเหน็จเป็นการจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายเกี่ยวกับแรงงานก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนข้อบังคับดังกล่าวย่อมไม่มีผลยกเลิกค่าชดเชยตามกฎหมายแต่อย่างใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 538/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำแทนผู้อื่นไม่ผูกพันจำเลยโดยตรง แม้รับเงินตามเช็ค การรับสภาพหนี้ต้องทำในนามตนเอง
เช็คมิใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืม จำเลยเขียนหนังสือรับสภาพหนี้ลงชื่อด้วยตนเอง แต่วงเล็บท้ายลายมือชื่อว่าแทน พ.จึงเป็นการกระทำแทนพ. มิใช่กระทำในนามของจำเลยเอง ตามพฤติการณ์โจทก์ทราบดีว่าจำเลยกระทำการแทน พ.จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัว.
of 66