พบผลลัพธ์ทั้งหมด 147 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีสัญชาติ: การที่ยังไม่มีการถอนชื่อออกจากทะเบียนบ้าน ย่อมไม่มีข้อโต้แย้งสิทธิและไม่มีอำนาจฟ้อง
การที่นายกเทศมนตรีจำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดจำเลยที่ 2 อ้างว่าโจทก์ทั้งหกเป็นคนต่างด้าวขออนุมัติถอนชื่อโจทก์ทั้งหกออกจากทะเบียนบ้านนั้น เป็นเพียงความเห็นของจำเลยที่ 1 เมื่อเทศบาลยังมิได้ถอนชื่อโจทก์ออกจากทะเบียนบ้าน กรณีก็ยังไม่มีข้อโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยเพิ่มชื่อโจทก์ลงในทะเบียนบ้าน หรือขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งหกเป็นคนสัญชาติไทย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2420/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนกรรมสิทธิ์หลังคำพิพากษาถึงที่สุด: ผู้รับโอนไม่มีสิทธิขอคืนของกลาง
คดีเดิม ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวให้คู่ความฟังโดยชอบเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2530 และคดีถึงที่สุดแล้ว แต่ปรากฏตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสองและหนังสือแสดงการจดทะเบียนรถยนต์บรรทุกของกลางท้ายคำร้องว่า ผู้ร้องที่ 2 รับโอนรถยนต์บรรทุกของกลางจากผู้ร้องที่ 1 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2531 อันเป็นเวลาภายหลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ฉะนั้นผู้ร้องที่ 2 จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าของที่จะยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2389/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาของผู้ให้เช่าซื้อที่เพิกเฉยต่อการผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อและรู้เห็นการกระทำผิดของผู้เช่าซื้อ ทำให้ไม่อาจขอคืนรถของกลางได้
ผู้ร้องให้จำเลยเช่าซื้อรถพ่วงบรรทุก จำเลยชำระค่าเช่าซื้อเพียง 5 งวดแล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีก แม้ตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่า "ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระงวดหนึ่งงวดใด หรือผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด... ให้ถือว่าเป็นการผิดนัดผิดสัญญา และยอมให้สัญญาเช่าซื้อนี้เป็นอันมีผลบังคับได้ทันที โดยมิต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าก่อน" แต่เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 6 ผู้ร้องยังยอมรับเช็คซึ่งชำระค่าเช่าซื้อในงวดต่อมาโดยนำเช็คไปเบิกเงิน ผู้ร้องก็มิได้เลิกสัญญา หรือยึดรถพ่วงบรรทุกคืนแสดงว่า ผู้ร้องมิได้ถือเอากำหนดเวลาที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดตามสัญญาเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญของสัญญาและไม่ประสงค์จะเลิกสัญญาโดยอาศัยข้อสัญญาดังกล่าว นอกจากนี้ สัญญาเช่าซื้อข้อ 9 ยังระบุว่า"ในระหว่างที่ผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อยังไม่หมดและมีเหตุวิบัติทำให้ทรัพย์สินที่เช่าซื้อเป็นอันตรายหรือสูญหายโดยเหตุประการใด ๆแม้จะเป็นเหตุสุดวิสัยก็ตาม ผู้เช่าซื้อก็ตกลงยินยอมชำระค่าเช่าซื้อที่ยังค้างอยู่ทั้งหมดให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อจนครบถ้วนโดยพลัน"ดังนั้นเมื่อผู้ร้องไม่บอกเลิกสัญญาและไม่ติดตามรถพ่วงที่เช่าซื้อคืน จึงเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่า ผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการได้รับค่าเช่าซื้อเท่านั้น เมื่อจำเลยนำรถไปใช้กระทำผิดและถูกริบและมีผู้แจ้งให้ผู้ร้องทราบ ผู้ร้องจึงมาขอรถของกลางคืน เป็นการขอคืนแทนผู้กระทำผิด ถือว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดไม่อาจขอคืนรถพ่วงของกลางได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2376/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินโดยได้รับมอบต่างดอกเบี้ย เมื่อชำระหนี้แล้ว แม้ครอบครองนานก็ไม่เกิดสิทธิครอบครอง
ที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ได้มอบให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยเมื่อโจทก์ชำระหนี้เงินกู้ให้จำเลยไปแล้ว การที่จำเลยยังคงครอบครองที่ดินพิพาทต่อไปย่อมถือได้ว่าจำเลยยึดถือที่ดินพิพาทในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์ และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครองต่อโจทก์ ดังนี้แม้จำเลยจะครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาช้า นานเพียงใด ก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง โจทก์ย่อมเรียกร้องให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2307/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างเหมา: ฝ่ายผิดสัญญา, การบอกเลิกสัญญา, ค่าเสียหาย, และการกลั่นแกล้งของเจ้าหน้าที่
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ฉ. ไม่มีอำนาจฟ้องแทนโจทก์ แต่คำให้การของจำเลยที่ 1 ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ให้การต่อสู้ในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ไว้ คงมีจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธไว้เพียงว่า ฉ. จะมีอำนาจฟ้องแทนโจทก์หรือไม่อย่างไร จำเลยที่ 2ไม่ทราบและไม่รับรอง คำให้การดังกล่าวมิได้แสดงโดยแจ้งชัดว่าปฏิเสธอำนาจฟ้องของโจทก์ข้อใดและมิได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธดังนี้ คดีไม่มีประเด็นเรื่องอำนาจฟ้อง สัญญาก่อสร้างมีกำหนดแล้วเสร็จภายใน 360 วัน โจทก์ได้ต่ออายุสัญญาให้แก่จำเลยที่ 1 ออกไปอีก 120 วัน ครบกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 1 ก่อสร้างไม่เสร็จ จำเลยที่ 1 มีหนังสือบอกเลิกสัญญากับโจทก์ต่อมาโจทก์ก็มีหนังสือบอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถทำการก่อสร้างให้เสร็จได้ภายในกำหนดสัญญาทั้ง ๆ ที่โจทก์ก็ได้ต่ออายุสัญญาให้ครั้งหนึ่งแล้วจำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ดังนี้ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ 1 ได้ โจทก์จ้าง จ. ก่อสร้างอาคารโรงเรียนบ้านเตาไท และโรงเรียนบ้านนารายณ์ เพิ่มเติมต่อจากที่จำเลยที่ 1 ก่อสร้างค้างไว้ กับก่อสร้างอาคารโรงเรียนบ้านดอนจันทร์ รวมเป็นเงิน1,350,000 บาท เท่ากับจำนวนเงินที่เหลือตามสัญญาจ้างกับจำเลยที่ 1 พอดี โจทก์ดำเนินการก่อสร้างโดยชอบด้วยระเบียบของทางราชการจึงเป็นค่าเสียหายโดยตรงที่โจทก์ได้รับเนื่องจากจำเลยที่ 1ผิดสัญญาจำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าก่อสร้างส่วนนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2146/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขับรถแซงแล้วเลี้ยวโดยประมาท ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้ขับมีความผิด
จำเลยขับรถอยู่ช่องทางซ้ายได้ขับแซงรถของ ก. แล้วเลี้ยวขวามือจะเข้าซอยในขณะที่ถนนมีฝุ่นมาก ซึ่งก่อนจะเลี้ยวจำเลยไม่เห็นรถของ ก. ที่ตามมาข้างหลัง แต่จำเลยย่อมต้องทราบดีว่ามีรถขับตามหลังมา แม้จำเลยจะให้สัญญาณไฟเลี้ยวขวาก็ไม่อาจทำให้รถที่ขับตามหลังมาเห็นสัญญาณไฟในระยะไกลได้ ถ้าหากจำเลยไม่ขับรถแซงขึ้นไป หรือขับรถแซงขึ้นไปแล้วรอให้รถที่ตามหลังมาแล่นเลยไปก่อนแล้วจึงค่อยเลี้ยวขวา เหตุรถชนกันก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการขับรถโดยประมาท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2142/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วิวาททำร้ายร่างกายและการป้องกันตัวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยกับผู้ตายสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่ง กันและกันการกระทำของจำเลยมิใช่เป็นเรื่องป้องกันโดย ชอบด้วย กฎหมายตามป.อ. มาตรา 68.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2061/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องเรียนการบุกรุกที่ดินสาธารณะของผู้ใหญ่บ้าน ไม่ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครอง
ที่พิพาทซึ่ง เรียกว่าหนองอีเบี้ย โจทก์ทั้งสองได้ แจ้ง การครอบครองไว้แล้วจำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้าน ได้ รับการร้องเรียนจากราษฎรประมาณ 92 คน ว่า โจทก์บุกรุกที่พิพาทอันเป็นหนองสาธารณะจำเลยจึงได้ ร้องเรียนนายอำเภอให้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบที่พิพาทตาม กฎหมายลักษณะปกครองท้องที่ มาตรา 122 การกระทำของจำเลย ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิ หรือรบกวนการครอบครองของโจทก์แต่ อย่างใด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดินสาธารณสมบัติ การต่อสู้คดีของจำเลยร่วม และการห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ได้กล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยจึงไม่เป็นการกล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ แม้ว่าจำเลยร่วมจะได้ยื่นคำร้องสอดอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยร่วมกับสามีก็ตาม แต่จำเลยร่วมขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(2) ซึ่งตามมาตรา 58 วรรคสอง ห้ามมิให้ผู้ร้องสอดใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่คู่ความฝ่ายซึ่งตนเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมในชั้นพิจารณาเมื่อตนร้องสอด และห้ามมิให้ใช้สิทธิเช่นว่านั้นในทางที่ขัดกับสิทธิของโจทก์หรือจำเลยเดิมดังนั้น จำเลยร่วมจึงต้องต่อสู้คดีด้วยข้อต่อสู้ของจำเลย ที่ว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินของโจทก์แต่เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งเป็นข้อต่อสู้ที่มิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ แม้ข้อเท็จจริงตามสำนวนจะไม่ปรากฏว่าที่พิพาทอาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องเกินเดือนละ 5,000 บาทหรือไม่ แต่ที่พิพาทมิได้ตั้งอยู่ในทำเลการค้าอันจะทำให้ค่าเช่าที่ดินสูงเป็นพิเศษ และจำเลยใช้ที่พิพาทปลูกบ้านอยู่อาศัยมีเนื้อที่เพียงเล็กน้อย ที่พิพาทจึงอาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, ที่สาธารณสมบัติ, การต่อสู้คดีด้วยข้อเท็จจริง, ข้อจำกัดการฎีกา, การห้ามฎีกา
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ได้กล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยจึงไม่เป็นการกล่าวแก้ ข้อพิพาทด้วย กรรมสิทธิ์ แม้จำเลยร่วมยื่นคำร้องสอดอ้างว่าที่พิพาทเป็นของตน กับ ก. สามีก็ตามแต่ จำเลยร่วมขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57(2)ซึ่ง ตาม มาตรา 58 วรรคสอง ห้ามมิให้ผู้ร้องสอดใช้ สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่คู่ความฝ่ายซึ่ง ตน เข้าร่วม และห้ามมิให้ใช้ สิทธิเช่นว่านั้นในทางที่ขัดกับสิทธิของโจทก์หรือจำเลยเดิมดังนั้น จำเลยร่วมจึงต่อสู้ คดีด้วย ข้อต่อสู้ของจำเลย คือต่อสู้ ว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงมิได้กล่าวแก้ เป็น ข้อพิพาทด้วย กรรมสิทธิ์ แม้ข้อเท็จจริงตาม สำนวนจะไม่ปรากฏว่า ที่ พิพาทอาจให้เช่า ในขณะยื่นคำฟ้องเกินเดือน ละ 5,000 บาทหรือไม่ แต่ที่ พิพาทมิได้ตั้ง อยู่ในทำเลการค้าและจำเลยใช้ ที่ พิพาทปลูกบ้านมีเนื้อที่เพียงเล็กน้อย ที่พิพาทจึงอาจให้เช่า ในขณะยื่นคำฟ้องได้ ไม่เกินเดือน ละ 5,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นคดีจึงต้องห้าม ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคสอง.