พบผลลัพธ์ทั้งหมด 346 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการร้องสอดเพื่อคุ้มครองเจ้าหนี้จากการหลอกลวงและปกป้องทรัพย์สินจากหนี้สินที่ถูกสร้างขึ้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้เงินที่กู้ยืมไปแก่โจทก์ สหกรณ์ผู้ร้องร้องสอดว่า ในขณะที่จำเลยที่ 1ดำรงตำแหน่งผู้จัดการสหกรณ์ของผู้ร้องได้ทุจริตเบียดบังเอาเงินของผู้ร้องไป ผู้ร้องได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 เพื่อเรียกเงินคืนคดีอยู่ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันได้สมคบกับโจทก์แสดงเจตนาลวงทำสัญญากู้ยืมเงินแกล้งเป็นหนี้เงินกู้โจทก์ตามฟ้อง เพื่อมิให้ผู้ร้องบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ได้ ขอให้พิพากษาว่าสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องเป็นโมฆะ เป็นเรื่องที่ผู้ร้องมีความจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่เพื่อให้ได้รับชำระหนี้ไม่ให้จำเลยทั้งสองโอนทรัพย์ไปเสียอันจะทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย จึงร้องสอดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของบุคคลที่สามในการร้องสอดเพื่อคุ้มครองสิทธิจากการสมคบกันแสดงเจตนาลวงเพื่อหลีกเลี่ยงการชำระหนี้
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ ผู้ร้องร้องสอดว่าจำเลยที่ 1 ทุจริตเบียดบังเงินของผู้ร้อง และผู้ร้องได้ฟ้องเรียกคืนไว้แล้ว โจทก์กับจำเลยทั้งสองสมคบกันแกล้งเป็นหนี้ตามฟ้องเพื่อมิให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ขอให้พิพากษาว่าสัญญากู้เป็นโมฆะ กรณีเป็นเรื่องผู้ร้องมีความจำเป็นเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองหรือบังคับให้ได้รับชำระหนี้ไม่ให้จำเลยโอนทรัพย์ไปเสียอันจะทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายผู้ร้องจึงร้องสอดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการร้องสอดเพื่อคุ้มครองเจ้าหนี้จากการสมคบกันแสดงเจตนาลวงของลูกหนี้และโจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57(1)โดยอ้างว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองสมคบกันแสดงเจตนาลวงทำสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องเพื่อมิให้ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 กรณีเช่นนี้มีความจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิซึ่งผู้ร้องมีอยู่ เพื่อให้ได้ชำระหนี้ ไม่ให้จำเลยทั้งสองโอนทรัพย์ไปเสียอันจะทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย คำร้องของผู้ร้องมีเหตุผลต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 57(1) โดยไม่ต้องไปดำเนินการตามขั้นตอนอื่น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6361/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินจัดสรร ตัวแทนจำกัดอำนาจ ผู้ขายไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 2 เพื่อจัดสรรขาย และจะได้กำไรจากราคาเดิมประมาณ 3-4 เท่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากจำเลยที่ 1 คงเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 เมื่อผู้ซื้อ ชำระราคาที่ดินครบถ้วนในแต่ละแปลงแล้ว โดยจำเลยที่ 1 ขอให้จำเลยที่ 2 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปทำการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อเท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจัดสรรที่ดินขายให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6312/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: การตีความกำหนดเวลา และการปฏิบัติตามสัญญา
แม้ว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมจะระบุว่าผู้ร้องกับพวกจะต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกให้เสร็จภายในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีอีกเรื่องหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีนั้นและออกคำบังคับโดยวิธีปิดหมายซึ่งจะมีผลบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาต่อเมื่อกำหนด 15 วันได้ล่วงพ้นไปแล้วดังนี้ เมื่อผู้ร้องได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาที่คำบังคับมีผล จึงถือว่าผู้ร้องได้ปฏิบัติตามกำหนดเวลาในสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6261/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันจำเลย แม้จำเลยอ้างไม่ทราบการยอมความ เพราะทนายมีอำนาจทำสัญญาได้
แม้หากจะฟังว่า จำเลยที่ 2 ห้ามหรือกำชับโจทก์และทนายจำเลยที่ 2 ว่าไม่เซ็นและหย่าได้ไปเซ็นสัญญาใด ๆ กันอีก จำเลยที่ 2 ไม่รับรู้ด้วย แล้วจำเลยที่ 2 ออกจากศาลไปก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ถอนทนายของตนแล้วเพราะการถอนทนายจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน เมื่อจำเลยทั้งสองแต่งตั้งให้ทนายของตนมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ได้และศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วคำพิพากษาย่อมผูกพันจำเลยทั้งสอง ในชั้นอุทธรณ์จำเลยทั้งสองเพียงแต่ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่ไม่ได้ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชนะคดี ค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ จึงต้องเสียเพียง 200 บาท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6255/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การย้ายศพเพื่อปิดบังการตาย ถือเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 199 แม้ไม่มีรายละเอียดการซ่อนเร้น
ฟ้องในข้อหาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 199 ไม่จำต้องบรรยายว่าจำเลยซ่อนเร้นหรือย้ายศพผู้ตายอย่างไร เพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา จำเลยทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แล้วรีบนำศพจากบ้านไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเพื่อทำการฌาปนกิจ โดยไม่แจ้งให้บิดามารดาผู้ตายและพนักงานเจ้าหน้าที่ทราบ เมื่อมีผู้ขอดูศพผู้ตายจำเลยก็ไม่ยอมให้ดู เป็นการย้ายศพโดยมีเจตนาเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 199.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6255/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซ่อนเร้นย้ายศพเพื่อปิดบังการตาย ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199
ข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199 โจทก์บรรยายฟ้องว่าภายหลังจากจำเลยได้ฆ่า ส.ถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยได้บังอาจซ่อนเร้น ย้ายศพของ ส.เพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตายเช่นนี้ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายชัดเจนถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีโดยโจทก์ไม่จำต้องบรรยายว่าจำเลยซ่อนเร้นศพผู้ตายอย่างไรหรือย้ายศพผู้ตายจากไหนไปไหนด้วยก็ได้ เพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว หลังจากจำเลยทำร้ายผู้ตายแล้ว จำเลยปกปิดความจริงไม่บอกให้บิดามารดาผู้ตายทราบถึงการเจ็บป่วยของผู้ตาย และเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วรีบนำศพจากบ้านไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเพื่อทำการฌาปนกิจโดยมิได้แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบ เมื่อมีผู้ขอดูศพผู้ตาย จำเลยก็ไม่ยอมให้ดู ตามพฤติการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตายของผู้ตายการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6062/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เลิกสัญญาซื้อขายโดยปริยายจากการไม่ชำระหนี้และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง แม้ไม่เคร่งครัดกำหนดเวลา
แม้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน กำหนดเรื่องการชำระราคากันว่าโจทก์ชำระเงินให้แก่จำเลยในวันทำสัญญาแล้ว 10,000 บาท ที่เหลือส่งชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 500 บาท จนกว่าจะครบ 37,500 บาทจำเลยจึงจะโอนสิทธิให้ แม้โจทก์มิได้ชำระเงินทุกเดือนรวมหลาย ๆ เดือนชำระครั้งหนึ่ง ไม่ได้ถือกำหนดเวลาในสัญญาเป็นสำคัญก็ตาม แต่เมื่อต่อมาโจทก์รื้อบ้านของโจทก์ที่ปลูกไว้ออกจากที่ดินดังกล่าวไปแล้วไม่ได้ชำระเงินให้จำเลยนานถึง 4 ปีเศษ โดยจำเลยไม่เคยทวงถามให้โจทก์ชำระหนี้อีกเลย แสดงว่าโจทก์จำเลยเลิกสัญญากันโดยปริยายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6030/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีเพิกถอนนิติกรรมขายและจำนอง: คดีมีทุนทรัพย์หรือไม่ พิจารณาจากมูลค่าทรัพย์สินที่พิพาท
โจทก์เป็นทายาทของ จ. ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ อ. ซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับ จ.ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวทำไว้กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และส. รวมทั้งขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรายการประเภทขายและประเภทจำนองทุกรายการ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ต่อสู้กรรมสิทธิ์และจำเลยที่ 5ต่อสู้ว่าได้รับจำนองที่ดินไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ดังนี้ถ้าโจทก์ชนะคดี โจทก์ย่อมได้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกลับคืนมาเป็นมรดกของ จ. โดยปลอดจำนองด้วย คดีของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้.