คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อุไร คังคะเกตุ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 346 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5479/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายทอดตลาดที่ดินสาธารณะและการตกเป็นโมฆะของการขายรวม
เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยจำนวน 7 แปลงในคราวเดียวกัน ผู้ร้องประมูลซื้อได้ทั้ง 7 แปลงต่อมาปรากฏว่าที่ดิน 2 แปลงที่ประกาศขายนั้นเป็นทางสาธารณะอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งจะโอนขายให้แก่กันมิได้ การขายที่ดินสองแปลงนี้จึงเป็นการขายทรัพย์สินที่ต้องห้ามโอนขายตามกฎหมายตกเป็นโมฆะ ส่วนที่ดินอีก 5 แปลง ซึ่งขายมาในคราวเดียวกันโดยไม่สามารถแยกออกได้ว่าที่ดินแปลงใดมีราคาเท่าใด และตามพฤติการณ์ก็ไม่สามารถสันนิษฐานได้ว่าคู่กรณีประสงค์จะให้การขายที่ดินทั้ง 5 แปลงนี้ให้สมบูรณ์แยกต่างหากออกมาได้ การขายที่ดิน5 แปลงนี้จึงตกเป็นโมฆะด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5478/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินฝากเพื่อเป็นประกันหนี้ ไม่ใช่การจำนำสิทธิ และการหักเงินหลังมีหมายอายัดเป็นข้อกฎหมาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินอันเดียวกันกับที่รับฝากผู้รับฝากมีสิทธิจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้ เงินที่ฝากจึงตกเป็นของผู้รับฝากซึ่งคงมีแต่หน้าที่คืนเงินให้ครบจำนวน เมื่อผู้ฝากฝากเงินไว้กับผู้รับฝากและตกลงมอบเงินฝากพร้อมสมุดบัญชีฝากประจำไว้เพื่อเป็นประกันหนี้ที่จะพึงมีต่อผู้รับฝาก แล้วยินยอมให้นำเงินจากบัญชีไปชำระหนี้ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าว เป็นเรื่องความตกลงในการฝากเงินเพื่อเป็นประกัน หาทำให้ตัวเงินตามจำนวนในบัญชีเงินฝากยังคงเป็นของผู้ฝาก อันผู้รับฝากได้ยึดไว้เป็นประกันการชำระหนี้ไม่ จึงไม่เป็นการจำนำเงินฝาก ส่วนใบรับฝากประจำเป็นเพียงหลักฐานการรับฝากและถอนเงินที่ผู้รับฝากออกให้ผู้ฝากยึดถือไว้ เพื่อความสะดวกในการฝากและถอนเงินในบัญชีฝากประจำของผู้ฝากไม่อยู่ในลักษณะของสิทธิซึ่งมีตราสารการมอบใบฝากประจำให้ผู้รับฝากยึดถือไว้เป็นประกันหนี้จึงมิใช่เป็นการจำนำสิทธิซึ่งมีตราสาร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 750 เมื่อผู้รับฝากเงินมิใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธิ (จำนำ) ใช้สิทธิหักเงินของผู้ฝากไปชำระให้แก่ผู้ว่าจ้างผู้ฝาก หลังจากที่ได้รับหมายอายัดของศาล จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามในคำสั่งอายัดทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 311 วรรคสาม ผู้รับฝากจะอ้าง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 และการกระทำไปโดยสุจริตตามประเพณีปฏิบัติของธนาคาร หรือเป็นการอายัดซ้ำกันมาเป็นเหตุไม่ต้องนำเงินตามจำนวนที่อายัดไปชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5478/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฝากเงินเป็นประกันหนี้และการบังคับคดี: สิทธิของผู้ฝากและผู้รับฝากเมื่อมีคำสั่งอายัดทรัพย์
ป.พ.พ. มาตรา 672 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินอันเดียวกันกับที่รับฝาก ผู้รับฝากมีสิทธิจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้ เงินที่ฝากจึงตกเป็นของผู้รับฝากซึ่งคงมีแต่หน้าที่คืนเงินให้ครบจำนวน เมื่อผู้ฝากฝากเงินไว้กับผู้รับฝากและตกลงมอบเงินฝากพร้อมสมุดบัญชีฝากประจำไว้เพื่อเป็นประกันหนี้ที่จะพึงมีต่อผู้รับฝาก แล้วยินยอมให้นำเงินจากบัญชีไปชำระหนี้ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าว เป็นเรื่องความตกลงในการฝากเงินเพื่อเป็นประกัน หาทำให้ตัวเงินตามจำนวนในบัญชีเงินฝากยังคงเป็นของผู้ฝาก อันผู้รับฝากได้ยึดไว้เป็นประกันการชำระหนี้ไม่จึงไม่เป็นการจำนำเงินฝาก ส่วนใบรับฝากประจำเป็นเพียงหลักฐานการรับฝากและถอนเงินที่ผู้รับฝากออกให้ผู้ฝากยึดถือไว้ เพื่อความสะดวกในการฝากและถอนเงินในบัญชีฝากประจำของผู้ฝากไม่อยู่ในลักษณะของสิทธิซึ่งมีตราสาร การมอบใบรับฝากประจำให้ผู้รับฝากยึดถือไว้เป็นประกันหนี้จึงมิใช่เป็นการจำนำสิทธิซึ่งมีตราสาร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 750
เมื่อผู้รับฝากเงินมิใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธิ (จำนำ) ใช้สิทธิหักเงินของผู้ฝากไปชำระให้แก่ผู้ว่าจ้างผู้ฝาก หลังจากที่ได้รับหมายอายัดของศาล จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามในคำสั่งอายัดทรัพย์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 311 วรรคสาม ผู้รับฝากจะอ้าง ป.วิ.พ. มาตรา 287และการกระทำไปโดยสุจริตตามประเพณีปฏิบัติของธนาคาร หรือเป็นการอายัดซ้ำกัน มาเป็นเหตุไม่ต้องนำเงินตามจำนวนที่อายัดไปชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5453/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของทรัพย์สินเช่าซื้อไม่ต้องรับผิดต่อการกระทำผิดของผู้เช่าซื้อ หากไม่มีเจตนาช่วยเหลือ
ที่อยู่ของผู้ร้องอยู่ห่างจากที่อยู่ของจำเลยถึง 8 กิโลเมตรผู้ร้องย่อมไม่ทราบว่าจำเลยจะเอารถจักรยานยนต์ไปกระทำผิดเมื่อไรถือไม่ได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยส่วนการที่หากจำเลยหรือผู้ค้ำประกันยังผ่อนชำระราคาอยู่ตามปกติผู้ร้องจะไม่ร้องขอของกลางคืนจากศาลนั้นเห็นว่า เมื่อจำเลยยังไม่ได้ผิดสัญญาเช่าซื้อ ผู้ร้องย่อมไม่มีเหตุหรือความเดือดร้อนที่จะติดตามทรัพย์สินของตนคืนถือไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วย (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 8/2534)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4760/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันเป็นเรื่องเดียวกับสัญญากู้ยืม ฟ้องได้ที่ภูมิลำเนาจำเลย การให้การไม่ชัดเจนเป็นเหตุให้ศาลไม่ต้องกำหนดประเด็น
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 680 สัญญาค้ำประกันจะมีได้เมื่อมีสัญญาหรือหนี้อื่นที่ลูกหนี้จะต้องชำระ แล้วคู่กรณีมาตกลงกันให้มีการป้องกันอีกชั้นหนึ่งว่า หากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันจะชำระแทน เพื่อที่เจ้าหนี้จะได้มีความมั่นใจว่าจะได้รับชำระหนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นมูลความแห่งคดีของหนี้ตามสัญญากู้ยืมและสัญญาค้ำประกันจึงเป็นเรื่องเดียวกัน ไม่อาจแบ่งแยกจากกันได้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องลูกหนี้และผู้ค้ำประกันเป็นจำเลยต่อศาลที่จำเลยคนหนึ่งคนใดมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 5 วรรคสองได้ จำเลยให้การแต่เพียงว่า โจทก์จะเป็นหญิงมีสามีโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จำเลยไม่รับรอง ส. ผู้ให้ความยินยอมจะเป็นสามีโจทก์หรือไม่ จำเลยไม่รับรอง คำให้การของจำเลยจึงไม่ชัดแจ้ง ขัดต่อป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นไม่กำหนดประเด็นนี้ให้จึงชอบแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4732/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่โจทก์พิสูจน์ความผิดฐานมี/พาอาวุธปืน - การที่จำเลยไม่ปฏิเสธไม่ใช่การยอมรับ
ในข้อหาความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต นั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานก็ตาม แต่โจทก์ก็มีหน้าที่นำสืบให้ฟัง ได้ว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องทั้งสองฐานดังกล่าวด้วยจึงจะลงโทษจำเลยได้ เมื่อทางพิจารณาโจทก์มิได้นำสืบว่า อาวุธปืน ที่จำเลยใช้ยิงต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานนั้นเป็นอาวุธปืนที่จำเลย มิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย และจำเลยมิได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว อีกทั้งโจทก์ก็ไม่ได้อาวุธปืนมาเป็นของกลางยืนยันความผิดของจำเลยด้วย จึงลงโทษจำเลยในข้อหาความผิด ทั้งสองฐานนี้ไม่ได้ ในการพิจารณาคดีอาญา เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบพิสูจน์ให้เห็นว่า จำเลยกระทำความผิด การที่จำเลยไม่นำสืบปฏิเสธจะถือเท่ากับว่าจำเลยยอมรับผิดตามฟ้องไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4718/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งอุทธรณ์เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล และการยื่นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบตามกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 บัญญัติให้ผู้อุทธรณ์ยื่นสำเนาอุทธรณ์ต่อศาลเพื่อส่งให้แก่จำเลยอุทธรณ์และตามแบบพิมพ์ของศาลท้ายอุทธรณ์ได้ระบุไว้ว่าโจทก์ได้ยื่นสำเนาอุทธรณ์โดยข้อความถูกต้องเป็นอย่างเดียวกันมาด้วยหนึ่งฉบับดังนั้นการที่ทนายโจทก์ได้ลงลายมือจริงไว้ในอุทธรณ์หาใช่เป็นการยื่นสำเนาอุทธรณ์โดยมีการรับรองข้อความถูกต้องเป็นอย่างเดียวกันไม่ เมื่อโจทก์ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์หรือทนายโจทก์มาลงชื่อรับรองสำเนาอุทธรณ์เสียให้ถูกต้อง แต่โจทก์กลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดถือได้ว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์ ศาลย่อมมีอำนาจที่จะสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบทความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 132,174(2) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ฉบับแรกของโจทก์โดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์หรือทนายโจทก์จะต้องมาลงชื่อรับรองสำเนาอุทธรณ์ภายใน 15 วัน แต่โจทก์กลับส่งอุทธรณ์และสำเนาอุทธรณ์ฉบับที่สองซึ่งมีข้อความเหมือนอุทธรณ์ฉบับแรกมายังศาลโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ ถือไม่ได้ว่าเป็นการยื่นอุทธรณ์ และสำเนาอุทธรณ์โดยชอบเพราะอุทธรณ์เป็นคำคู่ความ โจทก์จะต้องนำมายื่นต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 และมาตรา 229ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 จึงไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4607/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบอำนาจ ตัวแทนสั่งซื้อวัสดุ ก่อสร้างผูกพันตัวการ
จำเลยที่ 2 ได้ขออนุญาตจำเลยที่ 1 ซ่อมแซมกุฏิที่จำเลยที่ 2 ปกครองอยู่จำเลยที่ 1 ตั้งกรรมการให้ไปช่วยดูแล เมื่อไม่มีเงินเพียงพอจะชำระค่าวัสดุก่อสร้างจำเลยที่ 1ก็แจ้งให้เจ้าอาวาสและไวยาวัจกรทราบ จำเลยที่ 1เพิ่งออกคำสั่งให้จำเลยที่ 2 ระงับการก่อสร้าง โดยระบุว่าจำเลยที่ 2 ได้ทำการก่อสร้างมาเป็นเวลานานและทำผิดไปจาก รูปแบบเดิมจนก่อให้เกิดปัญหาในปัจจุบัน พฤติการณ์ดังกล่าว เช่นนี้แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 อนุญาตให้จำเลยที่ 2ทำการซ่อมแซมก่อสร้างได้โดยจำเลยที่ 1 ติดตามผลการก่อสร้างตลอดมา ทั้งกุฏิเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ในการซื้อสินค้าจำเลยที่ 2 ก็ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ไปบางส่วนแล้ว จึงเป็นมูลเหตุที่เชื่อได้ว่า จำเลยที่ 2 มีอำนาจสั่งซื้อสินค้าตามฟ้องแทนจำเลยที่ 1 ดังนั้น กิจการที่จำเลยที่ 2กระทำไปย่อมผูกพันจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4307/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องขัดแย้ง: การให้กรรมสิทธิ์ร่วมโดยเสน่หาแล้วขอถอนคืนเนื่องจากเนรคุณ เป็นฟ้องที่ไม่ชัดเจน
คำฟ้องโจทก์ตอนแรกบรรยายว่า โจทก์มีความประสงค์ให้ กำลังใจจำเลยเพื่อให้มุมานะ ในการศึกษา จึงได้ยอมจดทะเบียนลงชื่อ โจทก์กับจำเลยร่วมกันเป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้อง หมายความว่า โจทก์ ให้จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินตามฟ้องโดยเสน่หา แต่คำฟ้อง ของโจทก์ตอนต่อมาบรรยายว่า ที่ดินตามฟ้องโจทก์ลงชื่อจำเลย ร่วมไว้โดยเสน่หา ทั้งยังไม่ได้ให้ โดยเด็ดขาด เพียงลงชื่อไว้แทนชั่วคราว และโจทก์ยังคงยึดถือครอบครองที่ดินนี้อย่างเป็นเจ้าของตลอดมา หมายความว่า โจทก์ยัง ไม่ได้ยกที่ดินให้จำเลยเด็ดขาด เพราะโจทก์ยังคงครอบครองเป็น เจ้าของแต่ผู้เดียว ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของร่วมในที่ดิน ที่โจทก์ยกให้ จึงเป็นฟ้องที่ขัดกันและเป็นฟ้องที่ไม่แสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4306/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจากความโกรธแค้น ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
คืนเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายซึ่งเป็นภรรยาไปเที่ยวงานวัดด้วยกัน ครั้นเวลา 21 นาฬิกาเศษ จำเลยเดินตามหาผู้ตายในบริเวณงานวัด เห็นผู้ตายพูดคุยกับทหารพรานไม่ทราบชื่อในลักษณะสนิทสนมกันมาก และจำเลยเคยทราบข่าวว่าผู้ตายกับทหารพรานผู้นี้ไปเที่ยวด้วยกันหลายครั้ง จำเลยจึงกลับบ้านและดื่มสุราจนเวลา 1 นาฬิกาเศษจำเลยไปขุดเอาอาวุธปืนลูกซองสั้นซึ่งมีกระสุนปืนบรรจุอยู่ในลำกล้อง 1 นัด ที่จำเลยฝังไว้หลังบ้านมาเหน็บไว้ที่เอว เวลา3 นาฬิกาเศษ ผู้ตายกลับมาบ้าน จำเลยเปิดประตูออกไปและจับมือผู้ตายลากไปในสวนหลังบ้าน สอบถามผู้ตายถึงการไปเที่ยวกับผู้ชายเมื่อผู้ตายปฏิเสธ จำเลยกอดคอผู้ตายแล้ว ใช้อาวุธปืนจ่อยิงถูกบริเวณเหนือราวนมซ้าย 1 นัด ผู้ตายทรุดลงคว่ำหน้าอยู่กับพื้น ผู้ตายยังไม่ตายทันที จำเลยชักมีดพกปลายแหลมจากเอวแทงที่บริเวณคอผู้ตายอีกหลายครั้ง เมื่อผู้ตายตายแล้ว จำเลยไปเอาจอบที่บ้านมาขุดหลุมฝังไว้ที่เกิดเหตุ เช่นนี้แม้จำเลยจะกระทำต่อผู้ตายเพราะจำเลยโกรธเคืองที่ผู้ตายไปเที่ยวกับชายอื่นก็ตามแต่จำเลยกระทำต่อผู้ตายภายหลังที่จำเลยกลับมาบ้านเป็นเวลานานหลายชั่วโมง โดยจำเลยดื่มสุราเตรียมหาเชือกไว้สำหรับมัดมือผู้ตายและหาอาวุธปืนกับมีมีดพกปลายแหลมไว้สำหรับยิงแทงผู้ตาย พฤติการณ์ชี้ให้เห็นว่าจำเลยกระทำต่อผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
of 35