พบผลลัพธ์ทั้งหมด 346 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4287/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความหมายของคำว่า ‘เจ้าของ’ หรือ ‘ผู้ครอบครอง’ ในการฟ้องคดีความเสียหาย ไม่ทำให้ฟ้องเคลือบคลุม
คำว่าเจ้าของตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหมายความว่า ผู้มีกรรมสิทธิ์ผู้มีสิทธิครอบครอง ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ก็มีความหมายเหมือนกัน ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4287/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของคำว่า 'เจ้าของ' หรือ 'ผู้ครอบครอง' ในการฟ้องร้องความเสียหายทางแพ่ง
คำว่าเจ้าของตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหมายความว่าผู้มีกรรมสิทธิ์ผู้มีสิทธิครอบครอง ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ก็มีความหมายเหมือนกัน ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4043/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมทำเองสมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้ไม่มีพยาน และมีข้อความระบุผู้รับมรดกชัดเจน
ผู้ตายเป็นผู้เขียนพินัยกรรมด้วยลายมือตนเองทั้งฉบับพินัยกรรมจึงสมบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1657 โดยหาจำต้องมีพยานพินัยกรรมไม่ ข้อความในบันทึกของผู้ตายมีว่า "ถ้าหากช่วงต่อไปฉันมีอันที่จะต้องตายจากไป ฉันมีทรัพย์สินทั้งหมดที่เห็น ๆ อยู่นี้ ฯลฯในใจจริงนั้นคิดจะยกให้กับต่าย ผู้ซึ่งเป็นลูกสาวของน้าสาวคนเล็กซึ่งฉันเห็นว่าเขาเป็นผู้มีสติปัญญาที่ดี ฉันเพียงแต่คิดว่าฉันจะควรที่ฉันจะยกข้าวของซึ่งเป็นของฉันให้ต่าย ฯลฯ ส่วนข้าวของอย่างอื่นก็แล้วแต่บรรดาญาติจะเห็นสมควรจะให้อะไรแก่เด็กเหล่า บ้างฯลฯ (ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ ขอยกเว้นไม่มีการแบ่งให้กับแม่และลูก ๆของแม่ทุกคนโดยเด็ดขาดไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น) ในข้อความทั้งหมดที่เขียนมานี้ ฉันมีสติดีทุกประการ ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากฉันเองก็ขอให้ถือว่านี้คือการสั่งเสีย ฯลฯ แล้วลงชื่อ น.ส.ยุพินฉัตรพงศ์เจริญ(พิน)" ซึ่งตามบันทึกดังกล่าวมีข้อความว่าเมื่อผู้เขียนตายไปทรัพย์สินของตนให้แก่ใครบ้าง มีใครบ้างที่ไม่ยอมให้และลงท้ายด้วยว่ามีสติดี จึงเข้าลักษณะพินัยกรรมตามมาตรา 1646,1647 แล้ว หาใช่บันทึกบรรยายความคิดความรู้สึกในใจเท่านั้นไม่ ผู้คัดค้านฎีกาในข้อกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีเพราะไม่อาจทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4012/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขู่เข็ญด้วยรูปถ่ายเพื่อกรรโชกทรัพย์: ความผิดสำเร็จแม้ยังไม่ได้รับเงิน
ขณะยังบวชอยู่ ผู้เสียหายเคยถ่ายรูปเป็นฆราวาส และได้มอบรูปถ่ายดังกล่าวให้จำเลย ต่อมาจำเลยมอบรูปถ่ายของผู้เสียหายให้ จ. ไปขู่เอาเงินจากผู้เสียหาย หากไม่ให้เงินจะนำรูปถ่ายดังกล่าวไปโฆษณา อันเป็นการขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชื่อเสียงของผู้เสียหาย และผู้เสียหายยินยอมมอบเงินให้ จ. แม้ จ.จะยังไม่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไป ก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4012/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ้างพยานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และความสำเร็จของความผิดกรรโชกทรัพย์ แม้เงินยังไม่ถึงมือผู้กระทำ
โจทก์อ้าง ด. จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2699/2529ของศาลชั้นต้นมาเป็นพยานคดีนี้โดยพนักงานสอบสวนไม่ได้สอบสวน ด.ไว้เป็นพยาน แม้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 232 ห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน แต่ ด. มิได้เป็นจำเลยร่วมกับจำเลยนี้ กรณีจึงมิใช่โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานและแม้พนักงานสอบสวนจะมิได้สอบสวน ด.ไว้ในฐานะพยานก็ตามแต่พนักงานสอบสวนได้สอบพยานหลักฐานต่าง ๆในคดีนี้มาแล้ว จึงถือว่ามีการสอบสวนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และพยานโจทก์ที่เบิกความในศาลก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพยานในชั้นสอบสวนศาลย่อมรับฟังคำเบิกความของ ด. ลงโทษจำเลยได้ การที่ผู้เสียหายยินยอมมอบเงินให้ ด.เพราะเหตุว่าด.จะนำรูปถ่ายของผู้เสียหายซึ่งแต่งตัวเป็นฆราวาสไปโฆษณาอันเป็นการขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชื่อเสียงของผู้เสียหาย และผู้เสียหายยินยอมมอบเงินให้ ด.แม้ด. จะยังมิได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปก็เป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์สำเร็จแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3991/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส: การพิจารณาจากบาดแผลและเหตุการณ์
จำเลยใช้มีดพร้าเฉพาะตัวมีดยาว 15.5 นิ้ว กว้าง 1.8 นิ้วเป็นอาวุธฟันผู้เสียหายเพียงครั้งเดียว มิได้ฟันซ้ำ ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสกระทำเช่นนั้นได้ ขณะจำเลยยกมีดขึ้นฟันผู้เสียหาย ผู้เสียหายยกมือซ้ายขึ้นปิดป้อง คมมีดจึงถูกผู้เสียหายที่ข้อมือซ้าย ใบหูซ้ายบริเวณท้ายทอยและกะโหลกศีรษะบริเวณท้ายทอยด้านซ้าย แม้จำเลยจะฟันถูกที่ศีรษะและบริเวณท้ายทอยซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ แต่ในขณะที่จำเลยฟัน ผู้เสียหายนั่งอยู่ใต้ซอกโต๊ะ และเป็นการฟันในทันทีหลังจากผู้เสียหายถูกผู้อื่นเตะล้มลง จำเลยจึงฟันส่งไป บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับจึงเป็นการบังเอิญ และแม้มีดที่ฟันจะมีความยาวและความกว้างของใบมีดพอที่จะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้แต่ความลึกของบาดแผลที่ท้ายทอยลึกเพียง 3 เซนติเมตร ที่ใบหูและข้อมือซ้ายลึกเพียง 0.5 เซนติเมตรเท่านั้น แสดงว่าจำเลยฟันผู้เสียหายไม่แรง จำเลยจึงมิได้ฟันผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าหากแต่มีเพียงเจตนาทำร้ายเท่านั้น เมื่อปรากฏว่ากระดูกบริเวณท้ายทอยแตกร้าวจะหายภายใน 6 สัปดาห์ อันเป็นการเจ็บป่วยจนประกอบกรณียกิจไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) แม้โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษตามมาตรา 288,80 ศาลฎีกาก็มีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3982/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธมีคม ศาลพิจารณาเจตนาและลักษณะบาดแผลเพื่อตัดสินความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
จำเลยกับพวกรวม 7 คน รุมทำร้ายผู้เสียหายโดยใช้ขวดน้ำอัดลมและเหล็กเปิดน้ำอัดลมซึ่งด้านหนึ่งไม่มีคม อีกด้านหนึ่งมีคม ยาว จากปลายแหลมถึงที่กั้น 1.2 เซนติเมตร เป็นอาวุธแทงคนละที และ ไม่มีโอกาสเลือกแทง ผู้เสียหายมีบาดแผลถูกแทงด้วยขวดน้ำอัดลม ที่ หางคิ้วซ้าย เป็นแผลฉีกขาดลึกครึ่งเซนติเมตรยาวเพียง 2 เซนติเมตร ถ้า ไม่มีโรคแทรกซ้อนจะรักษาหายภายใน 7 วัน ส่วนแผลที่ถูกแทงด้วย เหล็กเปิดน้ำอัดลมที่หน้าท้องมีรอยช้ำเล็กน้อย ไม่ต้องรักษาบาดแผล ไม่สามารถทำให้ถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยกับพวก ยัง ถือไม่ได้ว่า มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย คงเพียงแต่มีเจตนาทำร้าย ร่างกาย เท่านั้น อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3982/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย รุมทำร้ายด้วยอาวุธไม่มีคมและมีคม บาดเจ็บไม่ถึงแก่ชีวิต
จำเลยกับพวกรวม 7 คน รุมทำร้ายผู้เสียหายโดยใช้ขวดน้ำอัดลมและเหล็กเปิดน้ำอัดลมซึ่งด้านหนึ่งไม่มีคม อีกด้านหนึ่งมีคม ยาวจากปลายแหลมถึงที่กั้น 1.2 เซนติเมตรเป็นอาวุธแทงคนละทีและไม่มีโอกาสเลือกแทง ผู้เสียหายมีบาดแผลถูกแทงด้วยขวดน้ำอัดลมที่หางคิ้วซ้าย เป็นแผลฉีกขาดลึกครึ่งเซนติเมตร ยาวเพียง 2 เซนติเมตร ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนจะรักษาหายภายใน 7 วัน ส่วนแผลที่ถูกแทงด้วยเหล็กเปิดน้ำอัดลมที่หน้าท้องมีรอยช้ำเล็กน้อย ไม่ต้องรักษาบาดแผลไม่สามารถทำให้ถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยกับพวกยังถือไม่ได้ว่ามีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย คงเพียงแต่มีเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3909/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทุเลาการชำระค่าปรับของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย: ศาลไม่อนุญาตเนื่องจากมีกลไกขอคืนเงินได้
กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายตั้งขึ้นโดยกฎหมายมีฐานะเป็นนิติบุคคล และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการบริหารกองทุนตั้งขึ้นและมีหน้าที่ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 23,24 และ 25 แห่ง พ.ร.บ. อ้อยและน้ำตาลทรายฯ หากโจทก์ชนะคดีย่อมไม่เป็นการยากที่จะขอคืนเงินค่าปรับที่โจทก์ชำระไว้กับกองทุนดังกล่าวได้จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอนุญาตให้โจทก์ได้ทุเลาการที่จะต้องชำระเงินค่าปรับตามคำสั่ง ของจำเลยที่ 5 ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนอ้อยและ น้ำตาลทรายตาม พ.ร.บ. อ้อยและน้ำตาลทรายฯ มาตรา 58 ไว้ก่อนพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3909/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทุเลาการชำระค่าปรับของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย: ศาลไม่เห็นเหตุผลเพียงพอเนื่องจากสามารถขอคืนเงินได้หากชนะคดี
กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายตั้งขึ้นโดยกฎหมายมีฐานะเป็นนิติบุคคล และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการบริหารกองทุนตั้งขึ้นและมีหน้าที่ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 23,24 และ 25 แห่ง พ.ร.บ. อ้อยและน้ำตาลทรายฯ หากโจทก์ชนะคดีย่อมไม่เป็นการยากที่จะขอคืนเงินค่าปรับที่โจทก์ชำระไว้กับกองทุนดังกล่าวได้จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอนุญาตให้โจทก์ได้ทุเลาการที่จะต้องชำระเงินค่าปรับตามคำสั่ง ของจำเลยที่ 5 ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนอ้อยและ น้ำตาลทรายตาม พ.ร.บ. อ้อยและน้ำตาลทรายฯ มาตรา 58 ไว้ก่อนพิพากษา.