พบผลลัพธ์ทั้งหมด 346 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3372/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์แซง การกระทำที่อาจเกิดอันตรายและเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงปราศจากความระมัดระวัง เมื่อจำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์แซงรถยนต์ปิกอัพแล้วหากจำเลยต้องการจะแซงรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับขี่ จำเลยสามารถที่จะแซงได้ทันทีเพราะขณะนั้นบนถนนไม่มีรถแล่นสวนมาแต่การที่จำเลยไม่แซงทันทีโดยปักปาดหน้ารถยนต์ปิกอัพเข้าทางด้านซ้ายเสียก่อนแล้วจึงหักออกทางด้านขวาเพื่อแซงรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับขี่อีกนั้น เป็นการกระทำที่อาจเกิดอันตรายได้เนื่องจากระยะห่างระหว่างรถยนต์ปิกอัพกับรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับขี่นั้นมีเพียงไม่เกิน 15 เมตร น้อยเกินไปกว่าที่จำเลยจะกระทำเช่นนั้นได้ และการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ทั้งสองคันชนกันล้มกลิ้งครูดไปตามถนน เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3318/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายและฐานวิ่งราวทรัพย์ ศาลฎีกาแก้ไขโทษตามองค์ประกอบความผิดที่ถูกต้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำผิดและพาทรัพย์นั้นไป ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยฉกฉวยพาหนีไปต่อหน้าอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ได้ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานวิ่งราวทรัพย์ด้วย จะลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ไม่ได้ คงลงโทษจำเลยทั้งสองได้ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเท่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3318/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายกับฐานวิ่งราวทรัพย์: ความแตกต่างและขอบเขตการลงโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำผิดและพาทรัพย์นั้นไป ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยฉกฉวยพาหนีไปต่อหน้าอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ได้ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานวิ่งราวทรัพย์ด้วย จะลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ไม่ได้ คงลงโทษจำเลยทั้งสองได้ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเท่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3311/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษคดีอาญาที่รอการลงโทษและการตีความ 'ผู้ต้องโทษ' ตาม พ.ร.บ.ล้างมลทิน
ขณะที่จำเลยกับผู้ตายโต้เถียง กันอยู่นั้น จำเลยได้ใช้มีดแทงผู้ตาย 1 ที ส่วนที่ผู้ตายใช้เหล็กตีศีรษะจำเลยนั้น ตีหลังจากที่จำเลยแทงผู้ตายแล้ว ดังนั้นขณะที่จำเลยแทงผู้ตายไม่มีภยันตรายที่จำเลยจะต้องป้องกัน การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย พ.ร.บ. ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระชนมพรรษา60 พรรษาฯ มาตรา 4 บัญญัติว่า "ให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่าง ๆ ซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 5 ธันวาคมพ.ศ. 2530 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับหรือซึ่งได้พ้นโทษไปโดยผลแห่งพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2530 โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้น ๆ" และมาตรา 3 ได้ให้ความหมายของคำว่า"ผู้ต้องโทษ" ไว้ว่า "หมายความว่า ผู้ต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ลงโทษหรือให้กักกัน..." ศาลพิพากษาให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี โดยพิพากษาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2528 การที่ศาลกำหนดโทษจำคุกแต่รอการลงโทษไว้เท่ากับจำเลยยังมิได้รับโทษจำคุกมาก่อน จำเลยจึงมิใช่ "ผู้ต้องโทษ" ตามความหมายของมาตรา 3,4แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และไม่ได้รับผลตามพระราชบัญญัตินี้ศาลจึงนำโทษจำคุกที่รอไว้มาบวกกับโทษในคดีนี้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3311-3312/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โทษจำคุกรอการลงโทษไม่ถือเป็นผู้ต้องโทษตาม พ.ร.บ.ล้างมลทิน ทำให้สามารถนำโทษเดิมมาบวกกับโทษใหม่ได้
คดีเดิมศาลพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ การที่ศาลกำหนดโทษจำคุกแต่รอการลงโทษไว้ เท่ากับจำเลยยังมิได้รับโทษจำคุกมาก่อน จำเลยจึงมิใช่ "ผู้ต้องโทษ" ตามความหมายของมาตรา 3, 4แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระชนมพรรษา 60 พรรษาพ.ศ. 2530 และไม่ได้รับผลตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงนำโทษจำคุกที่รอไว้มาบวกกับโทษจำคุกในคดีนี้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3289/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงประชาชนหลายกรรม: การรับเงินแต่ละครั้งจากผู้เสียหายถือเป็นความผิดสำเร็จต่างกรรมกัน
จำเลยแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่ประชาชนทั่วไปรวมทั้งผู้เสียหายทั้ง 47 คน ต่างวันต่างเวลากันและรับเงินจากผู้เสียหายทั้ง 47 คนแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสำเร็จทันทีที่รับเงินจากผู้เสียหายแต่ละคน ซึ่งจำเลยกระทำทั้งหมด 47 ครั้ง ต่างวันต่างเวลากันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนหลายกรรมต่างกันรวม 47 กรรม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3278/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันเกินขนาดและการใช้กำลังเกินความจำเป็นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
เมื่อผู้ตายซึ่งเป็นคนร้ายได้วิ่งหนีออกจากบ้านจำเลยไปภยันตรายที่จำเลยจะต้องป้องกันนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว การที่จำเลยถือไม้ไล่ตามผู้ตายไปไกลจากบ้านจำเลยถึง 60 เมตร แล้วได้ใช้ไม้ยาวประมาณ 1 เมตร ตีผู้ตายจนถึงแก่ความตาย ทั้ง ๆ ที่ไม่ปรากฏว่าผู้ตายต่อสู้หรือมีอาวุธ เช่นนี้ จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3278/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้กำลังป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ ฎีกาเห็นว่าภยันตรายได้ผ่านพ้นไปแล้ว การไล่ตีจนถึงแก่ความตายเป็นความผิดฐานฆ่า
เมื่อผู้ตายซึ่งเป็นคนร้ายได้วิ่งหนีออกจากบ้านจำเลยไปภยันตรายที่จำเลยจะต้องป้องกันนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว การที่จำเลยถือไม้ไล่ตามผู้ตายไปไกลจากบ้านจำเลยถึง 60 เมตร แล้วได้ใช้ไม้ยาวประมาณ 1 เมตร ตีผู้ตายจนถึงแก่ความตาย ทั้ง ๆ ที่ไม่ปรากฏว่าผู้ตายต่อสู้หรือมีอาวุธ เช่นนี้ จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3247/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในรถยนต์พิพาท: ผู้ครอบครองสุจริตมีสิทธิดีกว่า แม้ผู้ซื้อรายหลังจะสุจริต
โจทก์ทำสัญญาซื้อรถยนต์จากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 ได้มอบรถยนต์ให้โจทก์ครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญาแต่จำเลยที่ 3 นั้นได้ขายรถยนต์พิพาทให้กับจำเลยที่ 4 แม้จำเลยที่ 4จะรับซื้อรถยนต์พิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน แต่จำเลยที่ 4ก็มิได้ครอบครองรถยนต์พิพาท ดังนั้นเมื่อรถยนต์พิพาทตกอยู่ ในความครอบครองของโจทก์ และโจทก์ได้รถยนต์นั้นโดยมีค่าตอบแทน และได้ครอบครองโดยสุจริต โจทก์จึงมีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 4 ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1303.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3148/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเรื่องบัญชีระบุพยาน เหตุมิได้ว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ และค่าขึ้นศาล
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์และไม่อนุญาตให้โจทก์สืบพยาน เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 แม้โจทก์จะได้ยื่นคำแถลงแจ้งเหตุขัดข้องและจำเป็นที่มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดและขอยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลชั้นต้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226(2) แล้วก็ตามแต่เมื่อโจทก์มิได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวมาในชั้นอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 แม้ผู้ร้องจะนำสืบพยานฝ่ายเดียว แต่ถ้าเป็นพยานที่มีน้ำหนักและเหตุผลเป็นที่เชื่อถือได้ ศาลก็ย่อมจะรับฟังพยานเช่นว่านั้นแล้ววินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทให้ผู้ร้องเป็นฝ่ายชนะคดีได้ โจทก์ฎีกาเพียงแต่ขอให้พิจารณาคดีใหม่ มิได้ฎีกาขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดี จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลสำนวนละ 200 บาท ตามตารางท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ข)