คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อุไร คังคะเกตุ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 346 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2146/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขับรถแซงแล้วเลี้ยวโดยประมาท ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้ขับมีความผิด
จำเลยขับรถอยู่ช่องทางซ้ายได้ขับแซงรถของ ก. แล้วเลี้ยวขวามือจะเข้าซอยในขณะที่ถนนมีฝุ่นมาก ซึ่งก่อนจะเลี้ยวจำเลยไม่เห็นรถของ ก. ที่ตามมาข้างหลัง แต่จำเลยย่อมต้องทราบดีว่ามีรถขับตามหลังมา แม้จำเลยจะให้สัญญาณไฟเลี้ยวขวาก็ไม่อาจทำให้รถที่ขับตามหลังมาเห็นสัญญาณไฟในระยะไกลได้ ถ้าหากจำเลยไม่ขับรถแซงขึ้นไป หรือขับรถแซงขึ้นไปแล้วรอให้รถที่ตามหลังมาแล่นเลยไปก่อนแล้วจึงค่อยเลี้ยวขวา เหตุรถชนกันก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการขับรถโดยประมาท.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2142/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วิวาททำร้ายร่างกายและการป้องกันตัวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยกับผู้ตายสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่ง กันและกันการกระทำของจำเลยมิใช่เป็นเรื่องป้องกันโดย ชอบด้วย กฎหมายตามป.อ. มาตรา 68.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2061/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องเรียนการบุกรุกที่ดินสาธารณะของผู้ใหญ่บ้าน ไม่ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครอง
ที่พิพาทซึ่ง เรียกว่าหนองอีเบี้ย โจทก์ทั้งสองได้ แจ้ง การครอบครองไว้แล้วจำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้าน ได้ รับการร้องเรียนจากราษฎรประมาณ 92 คน ว่า โจทก์บุกรุกที่พิพาทอันเป็นหนองสาธารณะจำเลยจึงได้ ร้องเรียนนายอำเภอให้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบที่พิพาทตาม กฎหมายลักษณะปกครองท้องที่ มาตรา 122 การกระทำของจำเลย ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิ หรือรบกวนการครอบครองของโจทก์แต่ อย่างใด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดินสาธารณสมบัติ การต่อสู้คดีของจำเลยร่วม และการห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ได้กล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยจึงไม่เป็นการกล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ แม้ว่าจำเลยร่วมจะได้ยื่นคำร้องสอดอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยร่วมกับสามีก็ตาม แต่จำเลยร่วมขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(2) ซึ่งตามมาตรา 58 วรรคสอง ห้ามมิให้ผู้ร้องสอดใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่คู่ความฝ่ายซึ่งตนเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมในชั้นพิจารณาเมื่อตนร้องสอด และห้ามมิให้ใช้สิทธิเช่นว่านั้นในทางที่ขัดกับสิทธิของโจทก์หรือจำเลยเดิมดังนั้น จำเลยร่วมจึงต้องต่อสู้คดีด้วยข้อต่อสู้ของจำเลย ที่ว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินของโจทก์แต่เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งเป็นข้อต่อสู้ที่มิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ แม้ข้อเท็จจริงตามสำนวนจะไม่ปรากฏว่าที่พิพาทอาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องเกินเดือนละ 5,000 บาทหรือไม่ แต่ที่พิพาทมิได้ตั้งอยู่ในทำเลการค้าอันจะทำให้ค่าเช่าที่ดินสูงเป็นพิเศษ และจำเลยใช้ที่พิพาทปลูกบ้านอยู่อาศัยมีเนื้อที่เพียงเล็กน้อย ที่พิพาทจึงอาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง, ที่สาธารณสมบัติ, การต่อสู้คดีด้วยข้อเท็จจริง, ข้อจำกัดการฎีกา, การห้ามฎีกา
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ได้กล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยจึงไม่เป็นการกล่าวแก้ ข้อพิพาทด้วย กรรมสิทธิ์ แม้จำเลยร่วมยื่นคำร้องสอดอ้างว่าที่พิพาทเป็นของตน กับ ก. สามีก็ตามแต่ จำเลยร่วมขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57(2)ซึ่ง ตาม มาตรา 58 วรรคสอง ห้ามมิให้ผู้ร้องสอดใช้ สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่คู่ความฝ่ายซึ่ง ตน เข้าร่วม และห้ามมิให้ใช้ สิทธิเช่นว่านั้นในทางที่ขัดกับสิทธิของโจทก์หรือจำเลยเดิมดังนั้น จำเลยร่วมจึงต่อสู้ คดีด้วย ข้อต่อสู้ของจำเลย คือต่อสู้ ว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงมิได้กล่าวแก้ เป็น ข้อพิพาทด้วย กรรมสิทธิ์ แม้ข้อเท็จจริงตาม สำนวนจะไม่ปรากฏว่า ที่ พิพาทอาจให้เช่า ในขณะยื่นคำฟ้องเกินเดือน ละ 5,000 บาทหรือไม่ แต่ที่ พิพาทมิได้ตั้ง อยู่ในทำเลการค้าและจำเลยใช้ ที่ พิพาทปลูกบ้านมีเนื้อที่เพียงเล็กน้อย ที่พิพาทจึงอาจให้เช่า ในขณะยื่นคำฟ้องได้ ไม่เกินเดือน ละ 5,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นคดีจึงต้องห้าม ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1891/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาจำกัดในคดีผิดสัญญาประกันตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ. (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532
ผู้ประกันยื่นฎีกาหลังจาก พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ.(ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 ใช้ บังคับแล้ว สิทธิในการฎีกาของผู้ประกันต้อง พิจารณาตาม กฎหมายที่ใช้ บังคับในขณะยื่น ฎีกา ซึ่ง ป.วิ.อ.มาตรา 119 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. ดังกล่าว บัญญัติว่า "ในกรณีผิดสัญญาประกันต่อ ศาล ศาลมีอำนาจสั่งบังคับตาม สัญญาประกัน หรือตาม ที่ศาลเห็น สมควรโดย มิต้องฟ้อง เมื่อศาลสั่งประการใดแล้วฝ่ายผู้ถูก บังคับตาม สัญญาประกันหรือพนักงานอัยการมีอำนาจอุทธรณ์ได้คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด" ฎีกาของผู้ประกันเป็นฎีกาเกี่ยวกับการสั่งบังคับตาม สัญญาประกัน ซึ่ง คำสั่งบังคับตาม สัญญาดังกล่าวเป็นที่สุดแล้วตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้ประกันไม่มีสิทธิฎีกาตาม บทบัญญัติดังกล่าว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1881/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอนุญาตฎีกาต้องระบุเหตุผลปัญหาสำคัญ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยหากคำสั่งอนุญาตไม่ชัดเจน
ผู้พิพากษาซึ่ง พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องซึ่ง จำเลยที่ 3 ขอให้รับรองให้จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดย มีคำสั่งในฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า"พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 3 เป็นหญิงหม้ายต้อง เลี้ยงดูบุตร จึงเห็นสมควรให้ศาลสูงสุดได้ วินิจฉัยอีกชั้น หนึ่ง จึงอนุญาตให้ฎีกาได้ สำเนาให้โจทก์" ดังนี้ คำสั่งดังกล่าวมิได้มีข้อความใด ที่แสดงว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกากรณีจึงถือ ไม่ได้ว่าผู้พิพากษา ซึ่ง พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษานั้นได้ อนุญาตให้จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1865/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อผิดนัดชำระ ผู้ให้เช่าซื้อเพิกเฉยถือว่ารู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด จึงไม่มีสิทธิขอคืนรถ
สัญญาเช่าซื้อกำหนดว่าหากผู้เช่าซื้อผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติด กันหรือผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่ สองงวดขึ้นไปให้สัญญาเช่าซื้อเป็นอันยกเลิกเพิกถอนทันที การที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติด กันหลายครั้ง แต่ ผู้ให้เช่าซื้อยังยอมรับค่าเช่าซื้ออีกโดย มิได้เลิกสัญญาและยึดรถยนต์ ที่ให้เช่าซื้อคืนแสดงว่าผู้ให้เช่าซื้อมิได้ถือ เอากำหนดเวลาตาม สัญญาเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญของสัญญา เพียงต้องได้ รับค่าเช่าซื้อให้ครบตาม สัญญา การที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติด กันหลายครั้ง ผู้ให้เช่าซื้อไม่บอกเลิกสัญญาเอารถยนต์ ที่เช่าซื้อ คืนมาจนกระทั่งจำเลยทั้งสองนำรถยนต์ ของกลางไปใช้ กระทำความผิดและถูก ริบ แล้วผู้ให้เช่าซื้อจึงได้ มาร้องขอรถยนต์ ของกลางคืน ดังนี้เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยผู้กระทำความผิดพฤติการณ์ดังกล่าวถือ ได้ ว่า ผู้ให้เช่าซื้อรู้เห็นเป็นใจด้วย ในการกระทำความผิด จึงไม่อาจขอคืนรถยนต์ ของกลางได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1298/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำที่ดินจากโครงสร้างเดิม: สิทธิใช้ประโยชน์และขอบเขตอำนาจฟ้อง
เจ้าของที่ดินเดิมเป็นผู้สร้างตึกพร้อมทั้งกันสาดในที่ดินของตนเอง ต่อมาได้แบ่งแยกที่ดินเป็นแปลง ๆ ทำให้กันสาดของตึกที่สร้างในที่ดินแปลงหนึ่งรุกล้ำเข้าไปในที่ดินที่แบ่งแยกอีกแปลงหนึ่ง กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1312เพราะการรุกล้ำมิได้เกิดจากจำเลยเป็นผู้สร้าง มาตรา 1312 เป็นบทยกเว้นเรื่องส่วนควบและแดนกรรมสิทธิ์ โดยบุคคลผู้สร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต มีสิทธิใช้ที่ดินของผู้อื่นในส่วนที่รุกล้ำนั้นได้ แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดิน และจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอม คดีนี้จำเลยมิได้เป็นผู้สร้าง หากแต่เจ้าของที่ดินเดิมเป็นผู้สร้างในที่ดินของตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งไม่มีกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ จึงต้องนำป.พ.พ. มาตรา 4 มาใช้บังคับ คืออาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ได้แก่มาตรา 1312 วรรคแรก คือจำเลยมีสิทธิใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์เฉพาะที่กันสาดรุกล้ำเข้าไปนั้นได้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อกันสาด แต่มีสิทธิที่จะเรียกเงินเป็นค่าที่จำเลยใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์ต่อไปแต่โจทก์มิได้ฟ้องขอให้บังคับเช่นนั้น คงฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จึงไม่อาจบังคับให้ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1298/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิในที่ดินเมื่อมีการรุกล้ำจากโครงสร้างเดิม การตีความมาตรา 1312 และหลักการเทียบเคียงบทกฎหมาย
เจ้าของที่ดินเดิมเป็นผู้สร้างตึกพร้อมทั้งกันสาดในที่ดินของตนเอง ต่อมาได้แบ่งแยกที่ดินเป็นแปลง ๆ ทำให้กันสาดของตึกที่สร้างในที่ดินแปลงหนึ่งรุกล้ำเข้าไปในที่ดินที่แบ่งแยกอีกแปลงหนึ่ง กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1312 เพราะการรุกล้ำมิได้เกิดจากจำเลยเป็นผู้สร้าง มาตรา 1312 เป็นบทยกเว้นเรื่องส่วนควบและแดนกรรมสิทธิ์ โดยบุคคลผู้สร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต มีสิทธิใช้ที่ดินของผู้อื่นในส่วนที่รุกล้ำนั้นได้ แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดิน และจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอม คดีนี้จำเลยมิได้เป็นผู้สร้าง หากแต่เจ้าของที่ดินเดิมเป็นผู้สร้างในที่ดินของตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งไม่มีกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ จึงต้องนำป.พ.พ. มาตรา 4 มาใช้บังคับ คืออาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ได้แก่มาตรา 1312 วรรคแรก คือจำเลยมีสิทธิใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์เฉพาะที่กันสาดรุกล้ำเข้าไปนั้นได้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อกันสาด แต่มีสิทธิที่จะเรียกเงินเป็นค่าที่จำเลยใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์ต่อไปแต่โจทก์มิได้ฟ้องขอให้บังคับเช่นนั้น คงฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จึงไม่อาจบังคับให้ได้
of 35